คำสั่งเสียสุดท้าย! "จิ้ม ชวนชื่น"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

คำสั่งเสียสุดท้าย! "จิ้ม ชวนชื่น"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

จากกรณีข่าวที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง กับการจากไปของ พ่อดม ชวนชื่น ศิลปิน ตลก นักแต่งเพลง ชื่อดังของวงการ และเป็นพ่อของ ดารา นักร้อง ตลก ชื่อดังอย่าง แจ๊ส ชวนชื่นนั้น “พ่อดม ชวนชื่น” จากไปด้วยโรคมะเร็งด้วยวัย 84 ปี โดยครั้งหนึ่งนั้น พ่อดม ได้ไปรักษา โรคมะเร็งตับระยะสุดท้ายเมื่อ 7 เดือนก่อน และลูกๆ ส่งไปรักษาตัวที่ประเทศจีน 

โดย “พ่อดม ชวนชื่น” นั้น เสียชีวิตลงแล้วอย่างสงบที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าเมื่อเวลาประมาณ 11 โมงวันนี้ (24/12/2561)

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

 

บรรยากาศที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าได้มี ลูกๆและญาติพี่น้องตระกูล "ชวนชื่น" โดยมี "จิ้ม ชวนชื่น" , "จอย ชวนชื่น" , แจ๊ส ชวนชื่น” , "ป๋าเทพ โพธิ์งาม" ได้มารวมตัวกันเพื่อรอรับศพของ "พ่อดม" หรือ "อุดม ชวนชื่น" ดาวตลกอาวุโสไปทำพิธีทางศาสนาต่อไป หลังมะเร็งตับคร่าชีวิตในวัย 83 ปี เบื้องต้นวันนี้ยังเก็บร่างพ่อดมไว้ที่ รพ. ก่อนจะย้ายในวันพรุ่งนี้ 25 ธ.ค. 61 

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

 

 

โดยลูกชาย จิ้ม ชวนชื่นได้กล่าวว่า ได้เคยพูดเล่นๆกับคุณพ่อเอาไว้ เรื่องงานศพของท่านว่าจะเป็นอย่างไร ซึ่งท่านไม่อยากให้ใครต้องเศร้ากัน ก็เลยอยากจะให้คนที่มาร่วมงาน ใส่ชุดสีชมพูด ซึ่งตนก็จะทำตามเจตนารมณ์ของผู้เป็นพ่อนั่นเอง

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!

 

 

ประวัติย่อโดยย่อของพ่อดม หรือ อุดม ชวนชื่น เป็นชาวบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี ครอบครัวมีอาชีพเป็นลิเก เขาจึงถูกดึงเข้าสู่ธุรกิจและศิลปะแขนงนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อุดม ชวนชื่นชอบเรื่องดนตรี จึงสามารถเล่นเครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงลิเกได้ทุกชิ้น แต่ใจจริงเขาอยากเป็นนักดนตรีสากลมากกว่า เพราะเห็นว่าเท่ห์ดี เขาจึงไม่ค่อยชอบเมื่อต้องถูกนำมาหัดร้องรำลิเก และก็มักจะหลบหนีการฝึกซ้อมอยู่เป็นประจำ แต่ดวงของเขาผูกพันกับเรื่องลิเกอย่างช่วยไม่ได้ ทำให้ในที่สุด ก็ต้องจับพลัดจับผลู เข้ามารับบทเป็นพระเอกลิเกจนได้

 

เมื่อพระเอกลิเกในคณะขาดเขาจึงถูกนำตัวขึ้นรับบทพระเอกแทนอย่างกะทันหัน แต่ด้วยไหวพริบ การรู้จังหวะดนตรี และปฏิภาณที่มีอยู่เหลือล้น ก็ทำให้เขาสามารถแสดงจนผ่านพ้นไปได้ด้วยดี หลังจากนั้น ก็จึงได้เร่งหัดลิเกอย่างเป็นกิจจะลักษณะ โดยลิเกคณะแรกที่อุดม ชวนชื่น รับบทเป็นพระเอก ก็คือคณะ ศิลป์ส่งเสริม
อุดม ชวนชื่น ในคราบของพระเอกลิเก ประสบความสำเร็จในระดับที่น่าพอใจอย่างยิ่ง ต่อมา เขาก็แยกมาตั้งคณะลิเกอุดมศิลป์ และเมื่อมีรายการวิทยุ เขาก็แสดงลิเกออกวิทยุในนามคณะ อุดม - แววดาว ซึ่งเป็นน้องสาว และก็ประสบความสำเร็จอย่างมากที่จันทบุรี หลังจากที่แสดงไปได้แค่ 7 วัน



นอก จากนั้น อุดม ชวนชื่น ก็ยังเป็นผู้ที่นำเอาดนตรีสากลมาเล่นร่วมกับลิเกด้วย เนื่อง จากเป็นคนชอบดนตรีสากลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เขาจึงหัดเป่าแซ็กโซโฟนด้วยตัวเอง เมื่อพอเล่นได้ เขาก็หาวิธีการดึงผู้ชมให้เข้ามาดูลิเก ด้วยการเล่นดนตรีสากลในช่วงหัวค่ำ เพื่อเรียกคน คณะลิเกของเขาจึงมีทั้งแอ็คคอร์เดี้ยน กีต้าร์ เบส และกลองชุด ไปๆมาๆ เครื่องดนตรีเหล่านี้ก็ถูกนำไปเล่นรวมกับเครื่องดนตรีลิเก


อุดม ชวนชื่น รับบทเป็นพระเอกอย่างยืนยงจนอายุมาก และหลังจากที่ได้ยินคนดูบ่นให้ฟังเรื่องอายุมาก เขาก็ตัดสินใจล้างมือจากการเป็นพระเอกลิเก และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ทันที จากนั้นก็ได้ไปสมัครเป็นนักดนตรีตามวงดนตรีลูกทุ่งต่างๆ แต่ปรากฏว่าไม่มีที่ไหนรับ เพราะไม่รู้โน๊ต เขาจึงต้องใช้เวลาในการเรียนโน๊ตด้วยตัวเองจากการซื้อตำรามาอ่านอยู่ 2 ปี ก่อนที่จะมาสมัครอยู่วงดนตรี เพลิน พรหมแดน

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!
 

 

เขาเป็นนักดนตรีอยู่นาน 7 - 8 ปี ต่อมาเมื่อตลกคาเฟ่เริ่มเป็นที่นิยม เทพ โพธิ์งาม และ เพชร ดาราฉาย ต่างก็ได้ออกจากวงเพื่อไปเล่นคาเฟ่ เพลิน พรหมแดน จึงขอให้อุดม ชวนชื่น ลองไปแสดงตลกที่หน้าเวทีดู ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะทำเอาหัวหน้าวงที่แอบดูอยู่ ถึงกับขำกลิ้งอยู่หลังเวที นับตั้งแต่วันนั้น อุดม ชวนชื่น จึงรามือจากการเป็นนักดนตรี และหันมาเล่นตลกอย่างเดียว โดยได้ค่าตัวถึงคืนละ 500 บาท เขาเล่นตลกอยู่ราว 1 ปี


ต่อมา เมื่อมีโอกาส อุดม ชวนชื่น ก็หาโอกาสนำจิ้ม ชวนชื่น ลูกชาย ซึ่งก็เล่นลิเกอยู่ มาร่วมวงเพลิน พรหมแดนด้วย โดยเริ่มจากการเป็นตลก ได้ค่าตัว 150 บาท และต่อมา เพลิน พรหมแดน ก็เพิ่มค่าตัวให้เป็น 300 บาทเหตุเพราะร้องเพลงเพราะ ต่อมาจิ้ม ชวนชื่น ได้เป็นลูกคู่ของเพลิน พรหมแดน แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน วงเพลิน พรหมแดน ก็ยุบวง อุดม ชวนชื่น ที่ตกงาน ก็จึงหยิบเครื่องดนตรีไปสมัครเป็นนักดนตรีวงสายัณห์ สัญญา แต่ก็ถูกปฏิเสธ เหตุเพราะว่าอายุมาก เขาเคยไปสมัครอยู่กับวงสังข์ทอง สีใส ที่ให้ค่าตัวคืนละ 200 บาท แต่ไม่เคยได้ขึ้นเล่นดนตรี อุดม ชวนชื่น จึงรู้สึกเกรงใจ และหลบออกมา

 

ต่อมา เขามาสมัครอยู่กับวงหงษ์ทอง ดาวอุดร แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็รวบรวมสมัครพรรคพวก และลูกชายคือจิ้ม ชวนชื่น ตั้งคณะตลกชื่อ ชวนชม แต่อยู่ได้ไม่นาน ก็แตกคอกัน ก็เลยแยกตัวออกมา และไปขอให้หลวงพ่อวัดเชิงหวาย ตั้งชื่อคณะตลกให้ ซึ่งหลวงพ่อก็เอาชื่อศาลาวัด ที่ชื่อศาลาชวนชื่น มาตั้งเป็นชื่อคณะตลก ที่ต่อมากลายมาเป็นตำนานตลกครอบครัวที่โด่งดังที่สุดในประเทศไทย โดยสมาชิกในวงล้วนแล้วแต่เป็นลูกหลานมากมายของอุดม ชวนชื่น ที่มีเอกลักษณ์ของเอกบุรุษด้วยการมีภรรยาหลายคน



สำหรับเรื่องการแต่ง เพลงนั้น อุดม ชวนชื่น ได้รับคำแนะนำมาจากพร ภิรมย์ ในช่วงที่ไปเล่นลิเกด้วยกันนาน 2 ปี และสนิทสนมกันเป็นอย่างดี โดยพร ภิรมย์ แนะนำให้อุดม ชวนชื่น อ่านกลอนพระอภัยมณี ของสุนทรภู่ จนเข้าใจในสัมผัสนอกสัมผัสใน ที่เป็นหัวใจของการแต่งเพลง เป็นอย่างดี


นัก ร้องคนแรกที่ได้ร้องเพลงของอุดม ชวนชื่น ก็คือคัมภีร์ แสงทอง นอกจากนั้น เขาก็ยังแต่งเพลงให้ยอดรัก สลักใจ , เอกชัย ศรีวิชัย และอื่น ๆ อีกหลายคน แต่ไม่มีเพลงไหน ประสบความสำเร็จมากเท่ากับ พิษรักพิษณุโลก เลย เพลงนี้เป็นเพลงเดียวที่ทำให้เขาได้รับเงินจากการแต่งเพลง โดยเขาได้มา 2 หมื่นบาทเมื่อมีการนำเพลงไปใช้ประกอบภาพยนตร์ 
 

 

คำสั่งเสียสุดท้าย! \"จิ้ม ชวนชื่น\"เผย พ่อดม เคยบอกอยากให้คนที่มาร่วมงานศพ ใส่สีชมพู ตนจะทำตามเจตนารมณ์ของพ่อ!