- 16 พ.ค. 2562
จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งแรก อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป คือ พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือ เจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสระสามพระยา
จากกรณีศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง มีคำสั่งอนุญาตให้ฝากขังครั้งแรก อดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่ 5 รูป คือ พระศรีคุณาภรณ์ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระครูสิริวิหารการสมจิตร จันทร์ศรี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือ เจ้าคุณเทอด ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ , พระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และ พระอรรถกิจโสภณ เลขาเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสระสามพระยา
ทั้งนี้ในคดีร่วมกันฟอกเงินทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม รวมกว่า 150 ล้านบาท ซึ่งเมื่อวันที่ 24 พ.ค.ที่ผ่านมา ศาลไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวอดีตพระเถระทั้ง 5 รูป เนื่องจากเห็นว่า คดีมีอัตราโทษสูง พฤติการณ์การกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนาและมีลักษณะเป็นขบวนการ โดยมีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร
จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในความครอบครองของผู้ต้องหากับพวก หากให้ปล่อยชั่วคราว เชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านแล้วต่อมา อดีตพระเถระทั้ง 5 รูป ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้มอบอำนาจให้ทนายความ ยื่นอุทธรณ์การประกันตัว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : กรรมสนอง!?! พระพรหมดิลก 4พระผู้ใหญ่นอนคุกยาวๆ??? ศาลยกคำร้องขอประกันอีก!!! ชี้โทษสูง พฤติการณ์ความผิดกระทบพุทธศาสนา พบทำเป็นแก๊ง(คลิป)
ล่าสุด ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง พิพากษาจำคุกอดีตเจ้าอาวาส 6 ปี และผู้ช่วยวัดสามพระยา 3 ปี ในคดีร่วมกันฟอกเงินอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตเงินทอนวัดในส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม ส่วนคดีอื่นให้ยกฟ้อง
ทั้งนี้กลุ่มภิกษุสงฆ์และศิษยานุศิษย์ ของนายเอื้อน กลิ่นสาลี อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา และอดีตกรรมการมหาเถรสมาคม หรือ มส. และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และนายสมทรง อรรถกฤษณ์ อดีตพระอรรถกิจโสภณและอดีตเลขาเจ้าคณะกรุงเทพ วัดสามพระยา เข้าร่วมรับฟังคำพิพากษา คดีร่วมฟอกเงินทุจริตงบประมาณ สำนักพระพุทธศาสนา ให้วัดสามพระยา
โดยทั้ง 2 ตกเป็นจำเลยในคดี ร่วมกันฟอกเงินอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีร่วมกันฟอกเงิน จากการทุจริตเงินทอนวัดในส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม และอดีตเจ้าอาวาส ถูกฟ้องอีกคดี ในฐานความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และเป็นผู้สนับสนันเจ้าพนักงานฯ , ร่วมกันฟอกเงินอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542
จากการที่ศาลพิเคราะห์จากพยานหลักฐาน แล้ว เห็นว่า จำเลยที่ 1 และจำเลยที่2 มีความผิดตามฟ้อง ในความผิดร่วมกันฟอกเงิน เนื่องจากงบประมาณ ที่ได้รับมาจากสำนักพระพุทธศาสนา หรือ พศ. จำนวน 5 ล้านบาทนั้น เป็นงบ ที่ให้สนับสนุนการศึกษาโรงเรียนปริยัติธรรม แต่วัดสามพระยา ไม่มีโรงเรียนปริยัติธรรม แต่จำเลย ไม่ส่งคืน พศ. แต่กลับมอบอำนาจให้ผู้อื่นเบิกถอนเงิน ไปใช้ ก่อสร้างและบูรณาการสิ่งปลูกสร้างในวัด โดยอ้างว่าเข้าใจว่าเป็นงบบูรณาการที่เคยขอไป
แต่ในการสืบพยานนัดแรกจำเลยไม่ได้นำเอกสารของบ และ รับงบมายื่นต่อศาล แต่ขอเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งที่เป็นเอกสารสำคัญ อีกทั้ง มีการเบิกงบไปฝากบัญชีประจำ รวม 2 บัญชี เพื่อเอาดอกเบี้ยเงินฝาก การกระทำของจำเลยทั้ง2 จึงเป็นการ ยักย้าย เปลี่ยนทรัพย์สินซึ่งได้มาจากการทุจริต ของคดีมูลฐานความผิดทุจริตงบประมาณสนับสนุนการศึกษาวัด ของ พศ. ศาลจึงลงโทษ ให้จำเลย ที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ ต้องรับโทษ 2 เท่า ของโทษทางคดี ลงโทษจำคุกรวม 6 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2 ตัดสินลงโทษจำคุก 3 ปี และ สั่ง ยกฟ้อง ใน คดีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
ขณะที่นายอรรณพ บุญสว่างทนายความของ นายสมทรง จำเลยที่ 2 เตรียมยื่นขอประกันตัวภายใน2-3 ผวัน และขออุทธรณ์ ตามขั้นตอนกระบวนการคาดว่าน่าจะใช้เวลาไม่เกินหนึ่งปีอย่างไรก็ตามมีข้อสงสัยในเรื่องการของบสนับสนุนในการก่อสร้างที่จำเลยทั้ง 2 ขอไปยังสำนักพุทธ ว่ามีการเซ็นอนุมัติออกมาอย่างถูกต้องหรือไม่