- 02 ก.ค. 2562
จากกรณีเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 62 นายวรพงษ์ ปิ่นสุวรรณและนายธงชัย คำพันธ์ ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง นางนฤมล หริรึกษฐากูร อายุ 79 ปี (ผู้เสียหาย) เป็นป้าของนายวรพงษ์ (จำเลย) ว่าจะพาไปทำธุรกรรมการเงิน จนผู้เสียหายหลงเชื่อยอมขึ้นรถยนต์ ฮอนด้า ทะเบียน วภ4381 กรุงเทพมหานคร ก่อนที่ทั้งสองคนจะหน่วงเหนี่ยวกักขัง ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วยการสวมกุญแจมือ จากนั้นได้โทรศัพท์เรียกเอาเงินค่าไถ่ 3 ล้านบาทจากลูกชายและลูกสาวผู้เสียหาย
อ่านข่าวที่เกี่ยว
- เนรคุณชัดๆ!! 2หลานจอมแสบผีพนันเข้าสิง ออกอุบายจับป้าล็อกกุญแจเรียกค่าไถ่ 3 ล้าน (คลิป)
จากกรณีเมื่อวันที่ 11 ม.ค. 62 นายวรพงษ์ ปิ่นสุวรรณและนายธงชัย คำพันธ์ ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวง นางนฤมล หริรึกษฐากูร อายุ 79 ปี (ผู้เสียหาย) เป็นป้าของนายวรพงษ์ (จำเลย) ว่าจะพาไปทำธุรกรรมการเงิน จนผู้เสียหายหลงเชื่อยอมขึ้นรถยนต์ ฮอนด้า ทะเบียน วภ4381 กรุงเทพมหานคร ก่อนที่ทั้งสองคนจะหน่วงเหนี่ยวกักขัง ใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหายด้วยการสวมกุญแจมือ จากนั้นได้โทรศัพท์เรียกเอาเงินค่าไถ่ 3 ล้านบาทจากลูกชายและลูกสาวผู้เสียหาย
ต่อมาลูกทั้งสองของผู้เสียหายได้แจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.สามเสน เพื่อติดตามตัวผู้ก่อเหตุ จากนั้นตำรวจจึงได้ประสานไปยังแม่ของนายวรพงษ์ ซึ่งเป็นน้องสาวของผู้เสียหายให้ติดต่อกับลูกชายและเมื่อนายวรพงษ์ทราบว่าลูกๆ ของป้า แจ้งความแล้วและแม่ของตนทราบเรื่องแล้ว จึงเกิดความกลัวก่อนใช้อาวุธมีดขู่บังคับผู้เสียหายให้บเงินจำนวน 32,000 บาท เหตุเกิดที่ แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สามเสน ได้ทำการติดตามจับกุมตัวจำเลยทั้งสองได้ พร้อมให้การรับสารภาพ โดยศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษา ในเวลา 09.30 น. ที่หัองพิจารณา 711
ล่าสุด ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้เบิกตัว นายวรพงษ์ ปิ่นสุวรรณและ นายธงชัย คำพันธ์ จำเลยในคดีอุ้มป้าตัวเองเรียกค่าไถ่ 3 ล้านบาท จากเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร มายังศาลอาญา เพื่อฟังคำพิพากษาในคดีที่พนักงานอัยการคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวรพงษ์ หรือ "โอ๋" ปิ่นสุวรรณ อายุ 50 ปี และนายธงชัย หรือ "กล้วย" คำพันธ์ อายุ 31 ปีเป็นจำเลยที่ 1-2 ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการหรือไม่กระทำการ หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่น เอาตัวบุคคลอายุกว่าสิบห้าปีไปโดยใช้อุบายหลอกลวง ร่วมกันชิงทรัพย์ฯ
เมื่อถึงเวลาศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานประกอบคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสองแล้ว โจทก์มีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าถูกจำเลยหลอกไปทำธุระที่ศูนย์ราชการ จากนั้นพวกจำเลยได้โทรหาบุตรของพยานเพื่อเรียกเอาเงินค่าไถ่ 3 ล้านบาท แลกตัวพยาน หากไม่ให้จะฆ่าพยานทิ้งและใช้มีดจี้เอาเงินพยานไป 32,000 บาท ก่อนปล่อยทิ้งลงข้างทางภายหลัง
ศาลเห็นว่าผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยาน เบิกความสอดคล้อง ไม่มีเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน มีเวลาเพียงพอที่จะจดจำใบหน้าของจำเลยทั้งสองได้ เชื่อว่าเบิกความไปตามจริง จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ จึงเป็นการใช้อุบายนำตัวไปหน่วงเหนี่ยวกักขัง แสดงเจตนาเอาตัวไปเพื่อค่าไถ่ และการเอาเงิน 32,000 บาท เป็นการร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้รถพาทรัพย์หลบหนี
จึงพิพากษาจำเลยทั้งสองกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป โดยให้จำคุกในความผิดฐานร่วมกันเรียกค่าไถ่ คนละ 15 ปี ฐานร่วมกันชิงทรัพย์โดยมีอาวุธและใช้รถพาทรัพย์หลบหนี คนละ 15 ปี ฐานพาอาวุธไปในเมืองให้ปรับคนละ 1,000 บาท รวมจำคุกคนละ 30 ปี ปรับ 1,000 บาท จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ให้ลดโทษกึ่งหนึ่ง รวมจำคุกคนละ 15 ปี ปรับ 500 บาท พร้อมริบของกลาง ทั้งนี้ ในส่วนค่าเสียหาย 32,000 บาท ทนายความจำเลยได้แจ้งต่อศาลว่าจำเลยได้ชดใช้คืนแล้ว