"ผบก.น.9" ตอกกลับ หลังโซเชียลออกมาตั้งข้อสงสัย คดีนายศิระ

"ผบก.น.9" ตอกกลับ หลังโซเชียลออกมาตั้งข้อสงสัย คดีนายศิระ

กรณีเหตุฆ่าน.ส.ยุรีย์ เถาวัลย์ อายุ 42 ปี แยกชิ้นส่วนยัดตู้เย็น ภายในบ้านเลขที่  17 ซอยท่าข้าม 28 แยก 6 แขวงแสมดำ เขตบางขุนเทียน กรุงเทพฯ ส่วนนายศิระ สมเดช อายุ 20 ปี บุตรชายผู้เสียชีวิต ได้ใช้อาวุธปืนของแม่ขนาด .38 ลั่นไกใส่ตัวเองที่ขมับข้างขวาทะลุซ้าย 1 นัด อาการสาหัส ถูกนำตัวส่ง รพ.นครธน และเสียชีวิตในเวลาต่อมา เหตุเกิดเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายนที่ผ่านมานั้น

วันนี้ (26 พฤศจิกายน) ที่สน.ท่าข้าม พล.ต.ต.โชคชัย งามวงศ์ ผบก.น.9 เปิดเผยความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า ทางตำรวจต้องอาศัยเวลาและพยานหลักฐาน ที่จะทำให้พิสูจน์ทราบได้ว่าการเสียชีวิต ของผู้ตายที่ถูกหั่นศพนั้นเกิดจากผู้ใด ในสังคมมองว่าน่าจะเป็นลูกหรือไม่ ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ยังไม่มีประจักษ์พยานยืนยัน จากการสอบสวนในเบื้องต้นทราบว่า บ้านหลังดังกล่าวมีแม่กับลูกอยู่เพียงสองคนเท่านั้น โดยมีพยานอีกสองคนเข้ามาแล้วพบกับเหตุการณ์แล้วแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยตำรวจพบว่าลูกชายถูกอาวุธปืนยิง ซึ่งพยานสองคนบอกว่าลูกชายได้ใช้อาวุธปืนยิงตัวเอง 

\"ผบก.น.9\" ตอกกลับ หลังโซเชียลออกมาตั้งข้อสงสัย คดีนายศิระ

ส่วนกระแสสังคมตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของทั้งสองคนหรือไม่ ทางพล.ต.ต.โชคชัย กล่าวว่า ในส่วนนี้ทางเจ้าหน้าที่จะพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน และรับฟังอยู่โดยตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็น เราไม่ได้ระบุว่าลูกเป็นคนทำ เรารู้แต่ว่ามีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมาแต่ยังไม่มีอะไรมาตอบข้อสงสัย ซึ่งเราก็ต้องหาพยานหลักฐานที่มีทุกอย่าง เมื่อถามต่อว่าสิ่งที่ต้องการหามีอะไรเพิ่มเติมอีกนอกจากกล้องวงจรปิด โทรศัพท์ และพยานแวดล้อม ฯลฯ ทางพล.ต.ต.โชคชัย กล่าวต่อว่า ต้องการทุกอย่าง โดยได้ให้ฝ่ายสืบสวนสืบสวนในเชิงเทคนิค ได้ความชัดเจนกระจ่างอะไรแล้วจะชี้แจงให้ทราบ ส่วนข้อสงสัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทางเจ้าหน้าที่กำลังทำงานกันอยู่ ส่วนเรื่องการเสียชีวิตต้องให้ทางแพทย์รายงานผลการชันสูตรมาว่า เขาตายไปกี่ชั่วโมง ในทางสืบสวนก็ต้องดูว่าผู้ตายติดต่อกับใคร ครั้งสุดท้ายมีการติดต่อเมื่อไหร่ แล้วพอมีพยานหลักฐานอะไรจะเชื่อมโยงว่าเป็นเรื่องที่พอจะยืนยันได้ว่าผู้ตายจะมีชีวิตอยู่ตอนนั้นหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องของการสืบสวน เหตุเกิดยังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ก็ขอเวลาให้เจ้าหน้าที่งานสืบสวนทั้งสืบสวนบก.น.9 และสืบสวนสน.ท่าข้าม ได้ทำงานกันก่อน ทั้งนี้จะมีการประชุมทีมสืบสวนเพื่อรวบรวมว่าประเด็นใดบ้างควรจะต้องไปดำเนินการ ถึงจะมาสรุปรวมอีกครั้งว่าประเด็นการเสียชีวิตของทั้งสองคนเกิดจากผู้ใดเป็นผู้ทำ 
 

ทางพล.ต.ต.โชคชัย กล่าวว่า เตรียมเรียกสองพยานที่พบศพมาสอบปากคำเพิ่มเติม เพื่อให้สิ้นกระแสความ ในฐานะที่บุคคลทั้งสองมีความใกล้ชิดกับผู้ตาย ทั้งนี้ได้มีการเก็บดีเอ็นเอ คราบเขม่าปืนจากพยานทั้งสองคนที่เข้าไปด้วย รวมถึงจะสอบสวนพยานแวดล้อมต่างๆ เพื่อเชื่อมโยงพยานทั้งสองคนในประเด็นที่สังคมสงสัยให้คลี่คลายทุกประเด็น นอกจากนี้จะต้องไปสอบปากคำแพทย์รพ.สมเด็จเจ้าพระยาที่จ่ายยา ว่าอาการป่วยของผู้ตายถึงขั้นไหนจะตัองพิสูจน์ทราบ อย่างไรก็ตามยังไม่มีประจักษ์พยานยืนยันว่าใครเป็นผู้ฆาตกรรม จึงต้องอาศัยพยานแวดล้อม และพยานหลักฐานอื่นๆ ให้ตอบข้อสงสัยให้ครบถ้วน ส่วนประเด็นของคนที่ก่อเหตุมีมากกว่าหนึ่งคนหรือไม่ ทางตำรวจยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง ยืนยันว่าตำรวจไม่กดดัน ในการทำงาน โดยจะต้องคลี่คลายข้อสงสัยในทุกประเด็นให้สังคมได้รับทราบข้อเท็จจริง

ส่วนกรณีที่ผู้เสียชีวิตถนัดมือซ้ายแต่ยิงตัวเองด้วยมือขวานั้นด้าน พ.ต.อ.ธีระ เถระพัฒน์ ผกก.สน.ท่าข้าม กล่าวว่า หลักฐานสำคัญที่จะสามารถยืนยันได้เป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ขณะนี้ก็อยู่ระหว่างรอผลการตรวจพิสูจน์ทางนิติวิทยาศาสตร์ ส่วนอาวุธมีดนั้นไม่พบคราบเลือด แต่ทางเจ้าหน้าที่ได้เก็บรวบรวมมีดทั้งหมดเพื่อตรวจสอบแล้ว ส่วนชิ้นส่วนอวัยวะต่างๆ ทางแพทย์ยืนยันว่าได้ครบทุกส่วนแล้ว รวมถึงได้สอบปากคำตำรวจที่อยู่หน้าบ้านหลังเกิดเหตุแล้วเบื้องต้นให้การว่าก่อนจะได้ยินเสียงปืนดังขึ้นนั้น ได้ยินเสียงลูกชายร้องโวยวายว่าไม่ต้องเข้ามาภายในบ้าน แต่ไม่ได้ยินเสียงทะเลาะอะไร ซึ่งสอดคล้องกับคำให้การของพยานที่อยู่ในบ้าน แต่อย่างไรก็ตามจะต้องสอบปากคำตำรวจนายดังกล่าวอย่างละเอียดอีกครั้ง 

พ.ต.อ.ธีระ กล่าวต่อว่า หลักฐานทางวิทยาศาสตร์จะตอบข้อสงสัยได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ทั้งหมดยังไม่ได้ตัดประเด็นใดทิ้ง เราไม่มีใครเห็นเหตุการณ์แต่อยากทราบข้อเท็จจริง ตำรวจพยายามไปถึงผู้ได้รับบาดเจ็บขณะนั้นยังไม่เสียชีวิต ได้ตัดสินใจให้นำส่งโรงพยาบาล เพราะหวังว่าจะได้ความจริงด้วยแต่ไม่สามารถยื้อชีวิตได้