สาวปัตตานีไปทำงานที่มาเลเซียคลอดลูกก่อนกำหนด กลับมาต่อวีซ่าแต่เจอพิษโควิดปิดประเทศต้องถูกพรากจากลูกน้อย

สาวปัตตานีไปทำงานที่มาเลเซียคลอดลูกก่อนกำหนด กลับมาต่อวีซ่าแต่เจอพิษโควิดปิดประเทศต้องถูกพรากจากลูกน้อย

รายงานข่าวกรณี นางสาวนูรฮาลีซา เจะอาแว หญิงไทยวัย 18 ปี ที่ได้เดินทางข้ามไปทำงานที่ประเทศมาเลเซีย ต่อมาเธอคลอดลูกน้อยก่อนกำหนดทำให้ลูกต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลที่ประเทศมาเลเซียตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา

จากนั้นเดือนมีนาคม 2563 เธอเดินทางกลับมายังประเทศไทยเพื่อต่อวีซ่า แต่ดันมาตรงกับช่วงที่การระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่เริ่มทวีความรุนแรงจนต้องมีการปิดประเทศทำให้เธอต้องถูกพรากจากลูกน้อยเป็นเวลากว่า 5 เดือนแล้ว

ล่าสุดมีรายงานเมื่อวันที่ 29 กรกฏาคม 2563 พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) พร้อมด้วย นายพรหมพิริยะ กิจนุสนธิ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี นางกนกรัตน์ เกื้อกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศอ.บต. (พม.) และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ ลงพื้นที่ บ้านเลขที่ 43 /1 หมู่ที่ 1 ตำบลกะรุบี อำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี เพื่อเยี่ยมเยียนให้กำลังใจและติดตามความคืบหน้าถึงการช่วยเหลือ นางสาวนูรฮาลีซา เจะอาแว หญิงไทยวัย 18 ปี ที่คลอดลูกในโรงพยาบาล ของประเทศมาเลเซีย 

 

สาวปัตตานีไปทำงานที่มาเลเซียคลอดลูกก่อนกำหนด กลับมาต่อวีซ่าแต่เจอพิษโควิดปิดประเทศต้องถูกพรากจากลูกน้อย

ซึ่งก่อนหน้านี้ทาง ศอ.บต. ได้ประสานไปยังสถานเอกอัครราชฑูตไทย (สอท.) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เพื่อนำเด็กกลับมาอยู่กับครอบครัว โดยมีการดำเนินงานร่วมกันระหว่างประเทศ และโอนเงินมัดจำไปยังโรงพยาบาลประเทศมาเลเซียเพื่อรับตัวเด็กมาอยู่ที่สถานทูตก่อน หลังจากนั้นก็จะมีการโอนเงินอีกครั้งตามเต็มจำนวนที่โรงพยาบาลแจ้ง เพื่อสามารถนำเด็กกลับประเทศไทย โดยมีกำหนดที่จะนำกลับมายังประเทศไทย ในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 นี้ ที่ ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา

พลเรือตรี สมเกียรติ ผลประยูร เลขาธิการ ศอ.บต. ได้กล่าวถึงการลงพื้นที่ในครั้งนี้ว่า เป็นการมาเยี่ยมเยียนให้กำลังใจในฐานะหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ที่ไม่ทอดทิ้งคนไทยด้วยกัน และพร้อมช่วยเหลือในด้านการส่งเสริมอาชีพ ตลอดจนความเดือดร้อนในทุกด้านอย่างสุดความสามารถ

ด้านนางสาวนูรฮาลีซา เจะอาแว หญิงไทยวัย 18 ปี ที่คลอดลูกในโรงพยาบาลของประเทศมาเลเซีย ได้กล่าวถึงความรู้สึกในครั้งนี้ว่า รู้สึกดีใจที่ตนจะได้เจอหน้าลูกซึ่งหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ ตนคิดว่าอาจจะเป็นการยากในการเจอหน้าลูก ต้องขอขอบคุณทาง ศอ.บต. ที่ได้มอบเงินช่วยเหลือจำนวน 50,000 บาท รวมไปถึงส่วนราชการ สื่อมวลชน และพี่น้องประชาชนทั้งในและนอกพื้นที่ที่ได้ให้การช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีเงินเข้ามาเป็นค่ารักษาพยาบาลกว่า 240,000 บาท

 

ขอบคุณ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ , กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า