- 16 ก.ย. 2563
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด - 19 ซึ่งทำให้ทั่วโลกต้องมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 29,737,991 ราย เสียชีวิตแล้วกว่า 939,364 ราย และรักษาหายเพียงแค่ 21,548,231 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 15.24 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งไม่นานมานี้ เพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศเมียนมา เพิ่งจะการ์ดตกและมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงมากขึ้นทุกวัน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โควิด - 19 ซึ่งทำให้ทั่วโลกต้องมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 29,737,991 ราย เสียชีวิตแล้วกว่า 939,364 ราย และรักษาหายเพียงแค่ 21,548,231 ราย (ข้อมูล ณ วันที่ 16 กันยายน 2563 เวลา 15.24 น. ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งไม่นานมานี้ เพื่อนบ้านของเราอย่างประเทศเมียนมา เพิ่งจะการ์ดตกและมีผู้ติดเชื้อพุ่งสูงมากขึ้นทุกวัน
ล่าสุด รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวความว่า "วันนี้ทำลายสถิติหลายอย่าง อินเดียทะลุห้าล้านไปแล้ว เมียนมาก็มาแรงจนแซงไทยไปแล้วเช่นกัน ในขณะที่ประเทศต่างๆ ในยุโรปมากมายหลายประเทศก็กำลังปั่นป่วนกับการระบาดหนักยังคุมไม่ได้ ปัจจัยสำคัญมาจากการดำเนินชีวิตของประชาชน และการเปิดเดินทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศ
สายพันธุ์หลักที่ระบาดทั่วโลกขณะนี้คือสายพันธุ์ G ซึ่งมาแทนที่สายพันธุ์ดั้งเดิมจากจีน มีงานวิจัยที่เคยเล่าให้ฟังไปหลายครั้งแล้วว่า สายพันธุ์ G นี้แพร่เร็วกว่าพันธุ์ดั้งเดิม 4-100 เท่า ล่าสุดมีงานวิจัยเพิ่มเติมที่ศึกษาความเร็วในการแบ่งตัวของไวรัส พบว่าสายพันธุ์ G แบ่งตัวไวกว่าพันธุ์ดั้งเดิมถึง 22% (เพิ่มจำนวนไวกว่าสายพันธุ์เดิม 1.22 เท่า)
เราจึงไม่แปลกใจว่า เหตุใดระบาดระลอกสองของหลายประเทศทั่วโลกจึงหนักกว่า เร็วกว่า คุมได้ยากกว่า ใช้เวลานานกว่า และส่งผลกระทบวงกว้าง
ดูจากยอดจำนวนผู้ติดเชื้อต่อวัน จะพบว่าญี่ปุ่นระลอกสองมีจำนวนสูงสุดต่อวันมากกว่าระลอกแรกราว 3 เท่า ประเทศอื่นๆ ก็สูงราว 1-2 เท่า โดยระยะเวลาที่ต้องใช้ในการควบคุมโรค ก็นานกว่าเดิมเฉลี่ยราว 2 เท่า นั่นแปลว่า หากไทยเกิดระลอกสอง ทรัพยากรต่างๆ ที่ต้องใช้ย่อมมากกว่าเดิม และต้องยืนระยะสู้นานกว่าเดิม
ดังนั้นในปัจจุบันที่มีข้อมูลชี้ให้เห็นว่า เรามีการติดเชื้อในประเทศ ยังไม่สามารถหาต้นตอได้ ไม่ทราบจำนวนที่แท้จริงว่ามีใครติดเชื้ออยู่บ้างไหม ที่ใด มากน้อยเพียงใด รู้เพียงสองอย่างคือ มีเคสที่รายงานว่าติดเชื้อในประเทศและตรวจพบทั้งในประเทศไทยเองและไปตรวจพบที่ต่างประเทศหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เมียนมา และเคสดีเจที่ตรวจเองในไทยนั้นเป็น"สายพันธุ์ G"
ขณะเดียวกันรัฐตัดสินใจเปิดประเทศ รับกลุ่มเป้าหมายต่างๆ เข้ามา จากเดิม 11 กลุ่ม และจะขยายเป็นการรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่ตุลาคมด้วย ความเสี่ยงย่อมมากขึ้นกว่าเดิม แปรผันตามจำนวนคนที่เดินทางเข้ามา จากเดิม 11 กลุ่มเป้าหมาย อัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อ มากกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตของไทยที่มีราว 0.3-0.5% โดยพบว่ามีประมาณ 0.6% แต่อาจมากกว่าเดิมหลังจากเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติหากไม่กำหนดเกณฑ์ของประเทศที่จะรับ เพราะหลายประเทศมีอัตราการตรวจพบว่าติดเชื้อสูงกว่าเราหลายเท่าถึงหลายสิบเท่า พอเราทราบข้อมูลเช่นนี้ ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่า โอกาสสูงมากที่จะระบาดซ้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากระบบติดตามไม่สมบูรณ์หรือไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ
ระบบติดตามจะสมบูรณ์หรือมีประสิทธิภาพ ก็ต่อเมื่อ เราสามารถรู้แบบ real time ได้ว่า คนคนนั้นขณะนี้อยู่ที่ใด เดินทางไปไหนมาไหนบ้าง เมื่อใดวันเวลาใด และสัมผัสพูดคุยหรือทำกิจกรรมกับใครบ้าง แต่ระบบที่เรามีปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นไทยชนะ หรือการสอบสวนโรคโดยอาศัยการซักประวัตินั้น คงไม่สามารถตอบคำถามต่างๆ ข้างต้นได้ทั้งหมด ดังนั้นการปกป้องเราทุกคนให้พ้นจากโรคระบาดที่อาจปะทุขึ้นมาเมื่อใดก็ได้นั้นจึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก สิ่งที่พอจะทำได้คือ การที่พวกเราทุกคนช่วยกันป้องกันตัวเองอย่างเต็มที่ สม่ำเสมอ ด้วยมือของเราเอง
...ใส่หน้ากาก ล้างมือ อยู่ห่างคนอื่นหนึ่งเมตร พูดน้อยลง พบคนน้อยลงสั้นลง เลี่ยงที่แออัดที่ชุมนุมที่อโคจร และคอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบายต้องหยุดเรียนหยุดงานและรีบไปตรวจรักษา...เอาใจช่วยทุกคน... หากพึ่งใครไม่ได้...ต้องพึ่งตนเองครับ...ด้วยรักต่อทุกคน"