- 04 ต.ค. 2564
Kick Off ฉีดไฟเซอร์ร์เข็มแรกให้นักเรียนระหว่างอายุ 12-18 ปี หมอธีระวัฒน์เตือนเฝ้าระวังภาวะ"กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ"
4ต.ค.64 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี “Kick Off สร้างเกราะป้องกันด้วยวัคซีน เด็กปลอดภัย เรียนอุ่นใจ ต้อนรับเปิดเทอม” เพื่อฉีดวัคซีนไฟเซอร์เข็มแรกให้นักเรียนระหว่างอายุ 12-18 ปี พร้อมด้วยนางสาวตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีโรงเรียนใน 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศ เข้าร่วมผ่านโปรแกรม Zoom Cloud Meetings ณ โรงเรียนพิบูลอุปถัมภ์ กรุงเทพมหานคร
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ถือเป็นวันที่น่ายินดียิ่งที่ลูก ๆ หลาน ๆ ในโรงเรียนทั้ง 13 เขตสุขภาพทั่วประเทศ ที่มีอายุระหว่าง 12-18 ปี จะได้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นเข็มแรก ซึ่งวัคซีนไฟเซอร์ถือว่ามีประสิทธิภาพและได้รับการรับรองจากองค์การอนามัยโลก ในหลายประเทศ อาทิ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น แคนาดา ได้อนุมัติให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์กับเด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปแล้ว ถ้าเราสามารถฉีดวัคซีนได้อย่างครบถ้วนทั้งหมด ทั้งครู นักเรียน บุคลากรการศึกษา ก็จะทำให้การเปิดภาคเรียนที่ 2 สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้อย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ในทุกวันนี้เรามี 3 สถานการณ์ที่น่าห่วงใย คือ การแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ปัญหาอุทกภัย และปัญหาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลต้องแก้ปัญหาทุกอย่าง จึงอยากฝากไปถึงครูอาจารย์และนักเรียนทุกคน ให้เข้าใจว่าประเทศชาติเราจะอยู่ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นวันนี้เรามีปัญหาอะไร ก็แก้ไป ทำให้ดีที่สุด จนกว่าปัญหาทุกอย่างจะเรียบร้อย
โดยทางกระทรวงศึกษาธิการ กำหนดแผนฉีดวัคซีนให้นักเรียน นักศึกษา ทุกสังกัด อายุระหว่าง 12-18 ปี จำนวน 5,048,081 คน เบื้องต้นมีผู้ประสงค์จะฉีด 3.61 ล้านคน คิดเป็น 71.67% โดยฉีดวัคซีนสูตร ไฟเซอร์ + ไฟเซอร์ เริ่มตั้งแต่ 4 ตุ.ค.64 ให้กับสถานศึกษาพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 15,465 แห่ง ใน 29 จังหวัดก่อน และจะฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน
การฉีดวัคซีนสำหรับเด็กนักเรียน/เยาวชน/บุคลากรภายในโรงเรียน เพื่อสร้างพื้นที่ปลอดภัย พร้อมเร่งกระทรวงศึกษาธิการ ดำเนินโครงการ Sandbox Safety Zone in School (SSS) สำหรับโรงเรียนที่มีความพร้อม คาดโรงเรียนจะกลับมาเปิดเรียน On Site ได้มากที่สุด เพื่อลดความเครียดและข้อจำกัดของนักเรียนในการเรียนออนไลน์
ด้าน ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ศาสตราจารย์สาขาประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า การวัคซีนชนิด mRNA ในเด็กนั้นค่อนข้างมีความเสี่ยงสูงมากกว่าการฉีดวัคซีนชนิดเชื้อตาย ถึงแม้ว่าจะมีรายงานออกมาอัตราการเกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบมีน้อยมาก แต่การฉีดวัคซีนในเด็ก ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นอันดับแรก และแม้ว่าอาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ก็มักจะส่งผลระยะยาวต่อการใช้ชีวิตเช่นกัน ดังนั้นวัคซีนที่เหมาะกับกับเด็กมากกว่าจึงควรเป็นวัคซีนชนิดเชื้อตาย แต่หากยังกังวลว่าการฉีดวัคซีนเชื้อตายทำให้ภูมิคุ้มกันขึ้นช้า และลงเร็ว เราสามารถกระตุ้นเข็มที่ 3 ด้วยวัคซีนชนิดอื่น ๆ ผ่านการฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง ก็จะได้ผลดีและปลอดภัยกับเด็กมากกว่า
อาการที่ต้องเฝ้าระวังของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบและเยื้อหุ้มหัวใจอักเสบ มีดังนี้
-แน่นหน้าอกเจ็บหน้าอก
-หอบเหนื่อยง่าย
-ใจสั่น
-หมดสติเป็นลม
ส่วนอาการข้างเคียงที่ไม่รุนแรง ซึ่งพบได้หลังจากที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ไปแล้วประมาณ 1-2 วัน ดังนี้
-มีไข้ หนาวสั่น
-ปวดศีรษะ
-ปวดกล้ามเนื้อ
-ปวดข้อต่อ
-ท้องเสีย
-อ่อนเพลีย
-ปวด บวม หรือรอยแดงบริเวณที่ฉีด