"โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน?

เรียกว่าเป็นเรื่องราวที่จะมองข้ามไปไม่ได้อีกแล้ว สำหรับการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของ เชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ที่พุ่งเป็นเท่าตัวในสัปดาห์เดียวอยู่ที่ 514 คน

ส่วนใหญ่ยังมาจากต่างประเทศ อาการป่วยไม่รุนแรง แต่กระจายไปใน 14 จังหวัด ส่วนใหญ่แถบอีสานยังไม่น่าวางใจ หลังคลัสเตอร์ผัวเมียกาฬสินธุ์ยังลุกลามไปจังหวัดโดยรอบ และมีชาวต่างชาติเข้าพื้นที่ติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนเพิ่มต่อเนื่อง

โดย พญ.อภิสมัยกล่าวว่าวันที่ 27 ธ.ค. มี 514 คน ถือเป็นการก้าวกระโดดจากสัปดาห์ที่แล้ว ที่พบ 200 กว่าคน จำนวนนี้ 2 ใน 3 เป็นผู้เดินทางเข้าประเทศ และ 1 ใน 3 เป็นผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อ คลัสเตอร์ใหญ่อยู่ที่ จ.กาฬสินธุ์ เป็นเคสสามีภรรยาและที่เดินทางกลับจากเบลเยียม จากไทม์ไลน์มีการรับประทานอาหารในผับและเดินทางไปตลาดโรงสี ทำให้มีนักดนตรี พนักงาน ลูกค้าที่รับประทานอาหารในขณะนั้นเป็นผู้เสี่ยงสูงทั้งหมด 125 คน เฉพาะที่ร้านอาหารมีผู้ติดเชื้อแล้ว 21 คน และมี 97 คน รอยืนยันว่าติดเชื้อหรือไม่ คลัสเตอร์นี้ยังเชื่อมโยงไปยัง จ.ลำพูน ที่พบผู้ติดเชื้อแล้ว 4 คนและ จ.อุดรธานี อีก 6 คน นอกจากนี้ ยังพบผู้ติดเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนที่ จ.สุรินทร์ 1 คน เป็นการสัมผัสผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับจากประเทศเดนมาร์ก และที่ จ.ภูเก็ต กับกระบี่ จังหวัดละ 1 คน เป็นการสัมผัสจากแม่บ้านที่ทำงานในโรงแรมที่ผู้ติดเชื้อพักอาศัย ส่วนที่ จ.ปัตตานี พบ 7 คน เป็นการสัมผัสผู้ติดเชื้อที่เดินทางกลับจากการแสวงบุญที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย ขณะที่ กทม.พบ 2 คน เป็นการสัมผัสผู้ติดเชื้อที่เป็นสามีประกอบอาชีพนักบินเดินทางกลับจากไนจีเรีย

โดยในวันนี้ (28 ธันวาคม 2564) ทางไทยนิวส์จะพาไปรวบรวมข้อมูลที่น่าตกใจและมีการวิเคราะห์กันเอาไว้ว่า คนไทยนั้นอาจจะต้องติดเชื้อ "โอมิครอน" ทุกคน โดยเราจะพาคุณผู้ชมนั้นไปเริ่มกันที่ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) หรือ โควิด-19 ในไทยวันนี้ พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 2,305 ราย ยอดติดเชื้อรวมระลอกเมษายน 2,185,849 ราย รวมยอดติดเชื้อสะสม 2,212,407 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 32  ราย เสียชีวิตสะสม 21,598 ราย หายป่วยเพิ่ม 3,070 ราย หายป่วยรวมระลอกเมษายน 2,132,017 ราย ผู้ป่วยกำลังรักษา 33,639  ราย

"โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน? "โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน?

ซึ่งก่อนที่ทางไทยนิวส์นั้นจะพาไปดูสาเหตุว่าทำไมนั้น คนไทยจะต้องหนี "โอมิครอน" ไม่พ้นนั้น เราจะพาไปดูอาการของเชื้อ "โอมิครอน" ว่ามีอาการอะไรที่ออกมาอย่างเด่นชัด สำหรับ ข้อมูลอาการของผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สายพันธุ์โอไมครอนที่มีอาการ 41 ราย 8 อาการที่พบ มากที่สุดคือ อาการไอ 54 % รองลงมา เจ็บคอ 37 % มีไข้ 29 % ปวดกล้ามเนื้อ 15 % มีน้ำมูก 12 % ปวดศีรษะ 10 % หายใจลำบาก 5 % ส่วนอาการได้กลิ่นลดลงมีเพียง 2 %

ด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงอาการของผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน จากข้อมูลที่รวบรวมทั้งต่างประเทศและในประเทศขณะนี้ เบื้องต้นอาการไม่แตกต่างจากอาการโควิด-19 ส่วนใหญ่มีอาการของการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจส่วนบน คือ มีไข้ เจ็บคอ และไอแห้งๆ เกือบทุกประเทศรายงานตรงกันว่า ความรุนแรงไม่มากเท่าเดลตา หลายประเทศบอกว่ารุนแรงน้อยกว่าเดลตาพอสมควร พบบางรายมีอาการปอดอักเสบ แต่ไม่มากนัก สำหรับการรักษาในไทยให้ยาต้านไวรัส (Favipiravir) ภายใน 3 วัน (24-72 ชั่วโมง) พบว่า ผู้ป่วยอาการดีขึ้นและหายเป็นปกติ
ซึ่งทางด้านของ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา (หมอธีระวัฒน์) ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาเผยสาเหตุว่าทำไมคนไทยต้องติดเชื้อเกือบทุกคน  ซึ่งคุณหมอธีระ ได้เปิดสาเหตุ 5ข้อที่บ่งชี้ โดยระบุว่า ชะตาโอมิครอน (Omicron)
คนไทยอย่างไรก็ติดโอมิครอน ไม่ช้าก็เร็ว ทั่วหรือเกือบทุกคน ขึ้นกับ

"โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน? "โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน?

1.ระยะเวลาหลังได้วัคซีน แม้เป็นวัคซีนที่คิดว่าดีที่สุดเช่น ไฟเซอร์หรือโมเดอร์นา 3 เข็ม ซึ่งแรงกว่า แอสตร้าเซนเนก้า 3 เข็ม มากกว่า 10 เท่า 
เมื่อพ้นสามเดือนไปแล้วประสิทธิภาพจะตกลงเหลือ 40% ตามข้อมูลของไฟเซอร์

2.ถ้าไม่เคยฉีดวัคซีนแม้เคยติดเชื้อโควิด-19 (Covid-19) มาก่อน ก็ติดโอมิครอนได้

3.การฉีดกระตุ้นขณะนี้ เป็นการหน่วงให้ไม่มีการติดเชื้อ มโหฬารทันทีทันใด เช่นเป็น 10,000 เป็นแสน เป็นล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้จะมีคนที่ไม่ได้รับวัคซีนปนอยู่ด้วย หรือแม้แต่ได้วัคซีนแต่ตกอยู่ในกลุ่มสูงอายุหรือมีโรคประจำตัว ซึ่งทำให้วัคซีนด้อยประสิทธิภาพลง และทำให้อาการรุนแรงขึ้นจนต้องเข้าโรงพยาบาล ไอซียู ในจำนวนมากพร้อมๆกัน เป็นต้น
ทั้งนี้ คนที่ได้รับวัคซีน หรือเคยติดเชื้อมาก่อน ถ้าไม่เปราะบางจริงๆ เมื่อติดโอมิครอน หวังว่าอาการจะผ่อนหนักเป็นเบา ขึ้นกับระบบภูมิความจำ “ยังมีอยู่” หรือถูกปลุกขึ้นมาทันท่วงที ถูกที่ ทันเวลาได้หรือไม่?

4.ในเมื่อวัคซีนด้อยประสิทธิภาพลงอย่างมาก วิธีการฉีดต้องทำให้มีผลแทรกซ้อนน้อยที่สุดโดยการฉีดเข้าชั้นผิวหนัง ที่ใช้ปริมาณน้อย และผ่านคนละกลไกกับแบบเข้ากล้าม ถ้า เกิด “ซวย” ก็ซวยน้อยหรือรอดเลย

5.ยาที่จะใช้รักษาตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อมีการติดเชื้อไม่ให้ต้องเข้า โรงพยาบาล มีความจำเป็น และมีความสำคัญ พอกันหรืออาจจะมากกว่าวัคซีนด้วยซ้ำ ฟ้าทลายโจร ไอเวอร์แมคติน ฟลูวอกซามีนหรือฟลูออกซิทีน


ซึ่งในเวลาต่อมานั้น ทางด้านของ ศ.นพ.ขวัญชัย ศุภรัตน์ภิญโญ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โพสต์เพจเฟซบุ๊ก Khuanchai Supparatpinyo ถึงแนวทางการอยู่รอดจาก "โอไมครอน" ที่กลายเป็นสายพันธุ์หลักครองโลกแทนเดลตาหลังจากข้ามปีใหม่ไปไม่เกิน 1-2 เดือน อย่าตื่นตระหนกกับข่าวการแพร่ระบาดของ "โอไมครอน" ข้อความว่า

การอยู่กับโควิดอย่างปลอดภัย แนวทางการอยู่รอดจาก "โอไมครอน" (Omicron survival guide) ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ก็ตาม "โอไมครอน" จะแพร่ระบาดไปทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยอย่างแน่นอน คาดว่าจะกลายเป็นสายพันธุ์หลักครองโลกแทนเดลตาหลังจากข้ามปีใหม่ไปไม่เกิน 1-2 เดือน อย่างไรก็ตาม แม้ "โอไมครอน" จะแพร่เร็วกว่าทุกสายพันธุ์ที่เคยมีมาแต่โชคดีที่เริ่มมีข้อมูลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆที่สนับสนุนว่า "โอไมครอน" ก่อโรคที่รุนแรงน้อยกว่าเดลตามาก ยิ่งตอกย้ำแนวคิดการอยู่กับโควิดอย่างปลอดภัยมากขึ้น ใครที่ยังยึดติดกับแนวคิดที่ต้องติดเชื้อเป็นศูนย์น่าจะตกยุคไปเรียบร้อยแล้ว
สำหรับภาครัฐในสถานการณ์การระบาดของ "โอไมครอน" ควรพิจารณาในหลายประเด็นเช่น

1.ควรจะสร้างความแตกตื่นให้สังคมเมื่อพบผู้ติดเชื้อ "โอไมครอน" หรือไม่

2.ยังสมควรจะตรวจเชิงรุกในคนที่ไม่มีอาการหรือไม่
 
3.ยังสมควรจะรายงานจำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรืออาการเล็กน้อยที่ไม่ต้องเข้ารับการรักษาในรพ.หรือไม่

4.ยังสมควรจะมีสถานกักตัวหรือรักษาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการหรือมีอาการเล็กน้อยอีกหรือไม่
 
5.ยังสมควรใช้ RT-PCR ในการตรวจคัดกรองหรือไม่
ด้าน นพ. สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้มีการสั่งการให้ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือ รพ.เด็ก ประสานไปยังเครือข่ายโรงเรียนแพทย์ รพ.เอกชน กรุงเทพมหานคร เตรียมการเรื่องเตียงรักษา และยาน้ำฟาวิพิราเวียร์ รองรับผู้ป่วยเด็กที่อาจเพิ่มมากขึ้นพอสมควร จากสถานการณ์โควิดสายพันธุ์ "โอไมครอน"

"โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน? "โอมิครอน" หนีไม่พ้น คนไทยต้องติดเชื้อทุกคน?

นอกจากนี้ยังได้ทำคลิปแนะนำวิธีการดูแลรักษาผู้ป่วยเด็กที่บ้าน (HI)  และกำหนดให้มี (CI) สำหรับผู้ป่วยเด็กที่ต้องมีผู้ปกครองดูแล โซนละ 1 แห่ง และมีระบบส่งต่อ รพ. กรณีอาการรุนแรง
โดย หลังการระบาดของสายพันธุ์โอมิครอน กระทรวง ได้ทำแบบจำลองสถานการณ์ เพื่อคาดการณ์การติดเชื้อโควิดสายพันธุ์โอมิครอน ไตรมาส 1 ปี 2565 หรือหลังปีใหม่ คาดว่า 1.สถานการณ์ที่แย่ที่สุด หากไม่มีการทำสิ่งใดเลย ประชาชน และสถานประกอบการไม่ร่วมมือป้องกัน เกิดการระบาดในวงกว้างอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละ 3-4 หมื่นคน เสียชีวิตวันละ 170-180 คน ใช้เวลาควบคุม 3-4 เดือน 2.สถานการณ์ระดับปานกลาง ผู้ติดเชื้อวันละ 15,000-16,000 คน และ 3.สถานการณ์ระดับดี คือประชาชนและสถานประกอบการให้ความร่วมมือดีมาก มีการฉีดวัคซีนมากขึ้นในทุกกลุ่มมากกว่า 4 ล้านโดสต่อสัปดาห์ ลดกิจกรรมการรวมกลุ่ม ผับบาร์ควบคุมได้ดีมาก จะมีผู้ติดเชื้อวันละ 10,000 คน เสียชีวิต 60-70 คน ใช้เวลาควบคุมสถานการณ์ได้ภายใน 1-2 เดือน กระทรวงอยากขอความร่วมมือประชาชนทำให้ได้ในระดับนี้
โดยต้องบอกว่าถึงแม้สถานการณ์ของเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน จะน่ากังวลแต่ที่ประชุม ศบค.เน้นย้ำให้คำนึงถึงประชาชนที่ต้องการดำเนินชีวิตตามปกติ ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไม่ใช่แค่การฉลองมีหลายครอบครัวต้องการเดินทางกลับไปดูแลผู้สูงอายุที่ไม่ได้เจอกันมานาน เบื้องต้นยังไม่มีมาตรการห้ามการจัดเทศกาลปีใหม่ แต่ขอให้แต่ละจังหวัดโดยเฉพาะคณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. คณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด เข้มงวดมาตรการ ทั้งนี้ นายกฯย้ำให้การเที่ยวปีใหม่ในกลุ่มเล็ก หรือการสังสรรค์ในครอบครัว เพื่อนสนิทสถานที่ทำงาน ให้ตรวจเอทีเค ทั้งผู้จัดและผู้ร่วมงาน จะทำให้ยอดผู้ติดเชื้อ หรือเสียชีวิตไม่เพิ่มมาก จนถึงขั้นที่ระบบสาธารณสุขดูแลได้ลำบาก

ซึ่งต้องบอกว่าประชาชนคนไทยนั้นจะมองข้ามเรื่องเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนไปไม่ได้ เพราะต้องบอกว่าการระบาดนั้นลุกลามไปอย่างรวดเร็วและหลังปีใหม่ก็คาดว่าน่าจะมียอดผู้ติดเชื้อพุ่งสูงขึ้นซึ่งเราก็ได้แต่ภาวนาว่าคงจะไม่ถึงขั้นเกิดเหตุร้ายแรงจนต้องล็อกดาวน์กันอีกครั้งหรือไม่?

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Thailand Web Stat