- 31 ธ.ค. 2564
"อ.เจษฎา" รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Jessada Denduangboripant
โดย"อ.เจษฎา"ระบุข้อความว่า
"สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ในสหรัฐอเมริกา .. ส่วนใหญ่จะเป็นไปตามคาดนะครับ"
เมื่อคืนนี้ ได้รับคำถามแซะๆ มาเกี่ยวเรื่อง "สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิดในสหรัฐอเมริกา" ว่า ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้างแล้ว (ส่วนความเห็นที่ผมมี ต่อสำนวนของคนส่งมานั้น อ่านได้ด้านล่างครับ)
ก็ต้องบอกว่าค่อนข้างหนัก ตามข่าวที่เราได้ยินกันมานะ แล้วโดยรวม ก็ไม่ค่อยผิดคาดกันสักเท่าไหร่
- สหรัฐอเมริกา ก็คล้ายๆกับหลายประเทศในยุโรป ที่ช่วงเดือน 2 เดือนนี้ เข้าสู่การแพร่ระบาดรอบใหม่ โดยมีเชื้อโควิดสายพันธุ์ "เดลต้า" เป็นตัวแพร่ระบาดอย่างหนัก ในช่วงฤดูหนาวตามคาด
- แต่เห็นได้ชัดว่า ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา เชื้อโควิคสายพันธุ์ omicron โอมิครอน ได้เข้ามาระบาดด้วย และเพิ่มอัตราส่วนขึ้นอย่างรวดเร็ว จนมีแนวโน้มอาจจะเข้ามาแทนที่ เดลต้า ได้ในที่สุด เหมือนในประเทศอื่นๆ (ภาพจาก คลิก)
- ผู้ติดเชื้อรายใหม่รายวัน พุ่งสูงอย่างรวดเร็วมาก เป็นประวัติการณ์ จนล่าสุดเกือบวันละ 5 แสนราย และมีค่าเฉลี่ยในช่วง 7 วัน ประมาณวันละ 3 แสนรายแล้ว
- แต่จำนวนผู้เสียชีวิตนั้น ยังไม่เพิ่มสูงขึ้น มีแนวโน้มคงตัว ค่าเฉลี่ยในช่วง 7 วัน อยู่ที่ประมาณ 1,500 รายต่อวัน และน่าจะเป็นผลตกค้างจากการป่วยด้วยสายพันธุ์เดลต้า
- สำหรับจำนวนผู้ที่ป่วย จนต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนั้น แม้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่มีค่าพุ่งขึ้นสูงมากสักเท่าไหร่ โดยมีค่าเฉลี่ยในช่วง 7 วัน อยู่ที่ 7.2 หมื่นราย และเป็นผู้ที่อยู่ในห้อง ICU 1.7 หมื่นรายต่อวัน ซึ่งส่วนใหญ่น่าจะเป็นผลตกของสายพันธุ์เดลต้ามากกว่าของ omicron
- ที่น่าเสียดายของประเทศยักษ์ใหญ่และมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์มาก รวมทั้งสามารถผลิตวัคซีนได้เอง อย่างสหรัฐอเมริกา ก็คือจำนวนผู้ฉีดวัคซีนแล้วนั้น มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เมื่อเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ โดยมีผู้ฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้วเพียงแค่ 62 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น
- เราถึงพอจะสรุปได้ว่า ผลของการที่คนสหรัฐอเมริกายังฉีดวัคซีนได้เป็นจำนวนน้อยกว่าที่ควรนั้น ทำให้ยังมีผู้ติดเชื้อ และผู้ที่ป่วยเข้าโรงพยาบาล รวมถึงผู้ที่เสียชีวิต ยังสูงอยู่ (เรียกว่าเป็น "การระบาด ในผู้ไม่ฉีดวัคซีน")
- เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เมื่อคิดว่าส่วนหนึ่งก็เป็นผลจากปัญหาเชิงการเมืองของประเทศเขา ที่ไปสร้างความหวาดกลัวต่อวัคซีนเอาไว้ ทั้งที่อุตส่าห์จัดหาวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูง ได้ก่อนใครเขา .. (ขอไว้อาลัยกับคนอเมริกา ผู้ที่เสียชีวิตไปด้วยเหตุผลทำนองนี้ด้วย)
- ขณะที่สรุปได้อีกอย่างว่า จำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ในช่วงนี้ต้องพุ่งสูงแน่ๆ จากฝีมือของ omicron เพราะมันมีการกลายพันธุ์ที่ทำให้แตกต่างไปจากวัคซีนเดิมๆ ที่จะสามารถปกป้องการติดเชื้อได้
- แต่ก็เห็นได้ชัดว่า วัคซีนยังมีส่วนสำคัญมาก ในการช่วยไม่ให้เกิดการสูญเสีย เจ็บป่วยรุนแรง เข้าไอซียู และตาย ได้ดีกว่าที่เคยกังวลกันด้วยซ้ำ
- สำหรับการคาดการณ์อนาคตนั้น เชื่อกันว่าการแพร่ระบาดของ omicron ในสหรัฐอเมริกา จะพุ่งขึ้นสูงสุดประมาณเดือนมกราคมและจะลดลงมาในเดือนกุมภาพันธ์ โดยที่มีผู้ติดเชื้อไปทั่วทั้งประเทศ (จนอาจจะชินชากันด้วยซ้ำ ว่าใครๆ ก็ติดโอมิครอนได้) แต่ก็จะมีผู้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บรุนแรงจากโรคนี้ ในอัตราส่วนที่ต่ำกว่าการแพร่ระบาดของเดลต้ามาก
ปล. ปกติแต่ละวัน ผมก็จะได้รับหลังไมค์ส่งข้อความเข้ามาแซะ มาด่า แบบนี้อยู่เรื่อยๆ ก็มักจะลบทิ้ง บล็อคทิ้งไป ขี้เกียจตอบโต้ด้วย .. แต่หัวข้ออันนี้ ดูแล้วน่าสนใจดี (คนที่ส่งมา เขายืนยันด้วยว่า ตัวเองไม่ใช่สลิ่ม) เลยยกขึ้นมาเล่าสู่กันฟังครับ
ปล. ผมว่า ผมไม่เคยเรียกวัคซีนไฟเซอร์ ว่าเป็น "วัคซีนเทพ" นะครับ ... แล้วก็น่าจะไม่เคยอวย ( = ยกย่องจนเกินจริง) ด้วย ... เช่นเดียวกับที่ไม่ได้ด้อยค่า ( = ดูถูกกันเกินจริง) วัคซีนซิโนแวคนะ แถมยังฉีดวัคซีนที่รัฐจัดหาให้ (ซิโนแวค 2 + แอสตร้า 1) เพื่อเป็นตัวอย่างกับสังคมด้วย ว่าให้รีบฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะไม่ทันการกัน