กู้ไม่สำเร็จ "เรือหลวงสุโขทัย" จมลงใต้ผิวน้ำแล้ว สู้แรงคลื่นไม่ไหว

จากกรณีที่ เรือรบหลวงสุโขทัย เจอคลื่นถล่มประสบปัญหาอุบัติเหตุในทะเลอ่าวไทย พื้นที่ อ.บางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ห่างจากชายฝั่ง 16 ไมล์ทะเล ทำให้สภาพเรือเอียงจมทะเล 80% ตั้งแต่ช่วงบ่ายวันที่ 18 ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา โดยมีปัญหาเครื่องยนต์ติดขัดและระบบสื่อสารไม่สามารถใช้การได้ ซึ่งต่อมาลูกเรือจากหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ( สอ.รฟ.) หน่วยนาวิกโยธิน (นย.) ทั้งหมด 110 นายปลอดภัยทั้งหมด ได้รับการช่วยเหลืออย่างปลอดภัยและสละเรือเรียบร้อย

 

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเมื่อเวลา 23.30 น. เรือรบหลวงสุโขทัยได้จมลงแล้ว หลังพยายามที่จะเข้ากอบกู้สถานการณ์แต่ไม่สำเร็จจากคลื่นลมที่ยังคงแรงมาก อีกทั้งมีน้ำเข้าเรือเป็นจำนวนมา ส่วนกำลังพลทั้งหมดปลอดภัย โดยอยู่ในระหว่างการลำเลียงขึ้นบนเรือหลวงกระบุรี

 

สำหรับประวัติของ เรือรบหลวงสุโขทัย จากข้อมูลของกองทัพเรือ พบเรือหลวงสุโขทัยลำนี้เป็นเรือลำที่ 2 หลังจากที่เรือลำแรกได้ปลดระวางไปแล้ว เนื่องจากมีการใช้งานมาเป็นระยะเวลายาวนาน โดยเรือหลวงลำนี้ เป็นเรือหมายเลข 442 วางกระดูกงู เมื่อวันที่ 26 มี.ค. 2527 ขึ้นระวางประจำการ 19 ก.พ. 2530 สร้างโดย Tacoma Boat Building Co, สหรัฐอเมริกา มีความยาวตลอดลำ 76.8 เมตร ความกว้าง 9.6 เมตร กินน้ำลึก 4.5 เมตร ความเร็วมัธยัสถ์ 18 นอต ความเร็วสูงสุด 24 นอต ระวางขับน้ำปกติ 840 ตัน ระวางขับน้ำสูงสุด 960 ตัน ระยะปฏิบัติการไกลสุด 3,568 ไมล์ กำลังพลประจำเรือ 87 นาย

 

ระบบตรวจการณ์  เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ Decca 1226   เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ ZW-06  เรดาร์ตรวจการณ์พื้นน้ำ/อากาศ DA-05  โซนาร์ติดใต้ตัวเรือ STN Atlas DSQS-21C  เรดาร์ควบคุมการยิง WM-25  LIROD-8 optical

ระบบอาวุธ  ปืน 76/62 มม. จำนวน 1 กระบอก  ปืน 40L70 มม. แท่นคู่ 1 กระบอก  ปืน 20 มม. 2 กระบอก  ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-พื้น แบบ ฮาร์พูน 2 แท่น (8 ท่อยิง)  ระบบอาวุธปล่อยนำวิถี พื้น-สู่-อากาศ แบบ อัลบราทรอส 1 แท่น (8 ท่อยิง)  ท่อตอร์ปิโด 2 แท่น(6 ท่อยิง)  ระบบขับเคลื่อนและเครื่องจักรช่วย   เครื่องจักรใหญ่ดีเซล MTU 20V1163 TB83 2 เครื่อง  เพลาใบจักร 2 เพลา

ทั้งนี้ เรือหลวงสุโขทัย เป็นเรือรบลำแรกของกองทัพเรือที่จมในรอบ 70 ปี หลังจากนี้ต้องติดตามปฏิบัติการกู้อาวุธ ขีปนาวุธและวัตถุระเบิดที่ติดตั้งประจำเรือ ต่อไป 

 

 

ขอบคุณ Army times Thailand

ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ Thainewsonline