- 21 ต.ค. 2566
สคร.9 เตือนเกษตรกร และประชาชนที่อยู่ในพื้นที่น้ำท่วม หรือผู้ที่ทำงานสัมผัสดินและน้ำโดยตรง ไม่ควรเดินลุยน้ำด้วยเท้าเปล่า หรือแช่น้ำเป็นเวลานานเพื่อป้องกันโรคเมลิออยด์ หรือโรคไข้ดิน
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา กล่าวถึงโรคเมลิออยด์ หรือโรคไข้ดินว่า เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เบอร์โคเดอเรีย สูโดมัลลิอาย พบได้ทั่วไปในดิน น้ำ นาข้าว ท้องไร่ แปลงผัก สวนยาง ทั่วทุกภาคในประเทศไทย เชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทาง คือ
1.การสัมผัสน้ำหรือดินที่มีเชื้อปนเปื้อน
2.ดื่มน้ำหรือรับประทานอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อเข้าไป
3.สูดหายใจเอาฝุ่นจากดินที่มีเชื้อเจือปนอยู่เข้าไป หลังติดเชื้อประมาณ 1-21 วันจะเริ่มมีอาการเจ็บป่วย แต่บางรายอาจนานเป็นปี ขึ้นอยู่กับปริมาณเชื้อที่ได้รับและภูมิต้านทานของแต่ละคน อาการของโรคนี้ไม่มีลักษณะเฉพาะ จะมีความหลากหลายคล้ายโรคติดเชื้ออื่นๆ หลายโรค เช่น มีไข้สูง มีฝีที่ผิวหนัง มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ อาจติดเชื้อเฉพาะที่ หรือติดเชื้อแล้วแพร่กระจายทั่วทุกอวัยวะและเสียชีวิตได้
สถานการณ์โรคเมลิออยด์ในประเทศไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 8 ตุลาคม 2566 มีผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ 3,086 ราย มีผู้เสียชีวิต 58 ราย ส่วนใหญ่พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กลุ่มอายุที่พบสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป รองลงมาคือ 55-64 ปี และกลุ่มอายุ 45-54 ปี ตามลำดับ
ส่วนสถานการณ์โรคเมลิออย ในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 7 ตุลาคม 2566 พบผู้ป่วยโรคเมลิออยด์ จำนวน 582 ราย มีผู้เสียชีวิต 6 ราย (บุรีรัมย์ 4 ราย และนครราชสีมา 2 ราย) ผู้ป่วยแยกเป็นรายจังหวัด ดังนี้
1) จังหวัดบุรีรัมย์ มีผู้ป่วย 336 ราย
2) จังหวัดสุรินทร์ มีผู้ป่วย 106 ราย
3) จังหวัดนครราชสีมา มีผู้ป่วย 93 ราย
4) จังหวัดชัยภูมิ มีผู้ป่วย 47 ราย
อาชีพที่พบผู้ป่วยสูงสุด คือ เกษตรกร ร้อยละ 53.78 รองลงมาคือ รับจ้าง ร้อยละ 25.88 และเด็ก ร้อยละ 6.87 ตามลำดับ กลุ่มอายุที่พบสูงสุด คือ กลุ่มอายุ 65 ปี ขึ้นไป อัตราป่วย 24.90 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาคือ กลุ่มอายุ 55 - 64 ปี อัตราป่วย 19.71 ต่อประชากรแสนคน และกลุ่มอายุ 45 - 54 ปี อัตราป่วย 13.20 ต่อประชากรแสนคน ตามลำดับ
นายแพทย์ทวีชัย วิษณุโยธิน กล่าวต่อไปว่า ในการป้องกันโรคเมลิออยด์ หรือโรคไข้ดิน ควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำย่ำโคลนหรือแช่น้ำเป็นเวลานาน หากจำเป็นควรสวมรองเท้าบูทหรือถุงพลาสติกหุ้มรองเท้า เพื่อป้องกันไม่ให้เท้าสัมผัสน้ำโดยตรง หากมีบาดแผลควรปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ และอาบน้ำชำระร่างกายทันทีหลังจากทำงานหรือลุยน้ำ รวมถึงดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง หากมีอาการไข้สูงเฉียบพลัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบไปพบแพทย์ทันที และแจ้งประวัติการเดินลุยน้ำให้แพทย์ทราบด้วย เพื่อที่แพทย์จะได้ตรวจวินิจฉัยและรักษาทันทีตามอาการและความรุนแรงของโรค สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422
ขอบคุณ กรมควบคุมโรค