เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดในจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก

เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดหนักในเด็กจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก แถมเจลแอลกอฮอล์ทำอะไรไม่ได้

"โนโรไวรัส" เป็นอีกเรื่องที่ทั่วโลกจับตา ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดการอักเสบของระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการท้องเสีย อาเจียน และป่วยหนักได้ โดยเฉพาะในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนป้องกันโรคโนโรไวรัส การรักษาจึงมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาอาการ เช่น การดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนน้ำที่สูญเสีย และการพักผ่อนให้เพียงพอ ล่าสุด Center for Medical Genomics ได้ออกมาเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับต้นตอ "โนโรไวรัส" ที่แพร่กระจายง่ายมาก แถมเจลแอลกอฮอล์ทำอะไรไม่ได้ด้วย 

เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดในจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก

โดย ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ - คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  ระบุว่า โนโรไวรัสระบาดในเด็ก เรื่องที่ผู้ปกครองต้องรู้เกี่ยวกับสายพันธุ์ GII.4 Sydney[P16] และความท้าทายในโรงเรียน เจลแอลกอฮอล์ที่ใช้ล้างมือไม่สามารถทำลายโนโรไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การระบาดของโนโรไวรัสในจีนช่วงที่ผ่านมาส่งผลกระทบหนักต่อเด็ก โดยเฉพาะในโรงเรียน สาเหตุหลักมาจากเชื้อสายพันธุ์ GII.4 Sydney[P16] ที่แพร่กระจายได้รวดเร็วและทำให้เกิดอาการกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบรุนแรง นำไปสู่อาการอาเจียนและท้องเสีย

โนโรไวรัสเป็นเชื้อไวรัสที่แพร่กระจายได้ง่ายมาก โดยจะส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินอาหารเป็นหลัก ทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องเสีย และปวดท้อง มักพบการระบาดในสถานที่ที่มีคนอยู่รวมกันจำนวนมาก เช่น โรงเรียน สถานพยาบาล และเรือสำราญ

การแพร่เชื้อหลักคือผ่านทางการอาเจียรและอุจจาระสู่ปาก โดยอนุภาคไวรัสเล็กๆ จากผู้ติดเชื้อสามารถปนเปื้อนในอาหาร น้ำ หรือพื้นผิวต่างๆ ซึ่งเมื่อสิ่งปนเปื้อนเหล่านี้เข้าสู่ปาก ก็จะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ การติดต่อมีได้หลายวิธี

เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดในจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก

1. การสัมผัสโดยตรงกับอุจจาระหรืออาเจียนของผู้ติดเชื้อ แล้วนำเชื้อเข้าสู่ปากผ่านทางมือ

2. การรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ มักเกิดจากการจัดการอาหารโดยผู้ที่ติดเชื้อ

3. การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนอุจจาระหรืออาเจียน แล้วนำมือมาสัมผัสปาก

ที่น่ากังวลคือ เชื้อนี้ติดต่อได้ง่ายมาก ใช้ไวรัสเพียงแค่ 10 อนุภาคก็สามารถทำให้ติดเชื้อได้แล้ว และผู้ติดเชื้อยังสามารถแพร่เชื้อผ่านทางอุจจาระได้นานหลายสัปดาห์หลังจากหายป่วยแล้ว ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่กระจายเชื้อต่อไป

สถานการณ์การระบาดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

จากข้อมูลระหว่างปี 2007-2021 พบการระบาดของโนโรไวรัสในจีนทั้งหมด 1,725 ครั้ง โดย 89.22% เกิดขึ้นในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็ก ชี้ให้เห็นว่าเด็กในสถานที่เหล่านี้มีความเสี่ยงสูง ในปี 2015 พบว่าเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีติดเชื้อคิดเป็น 15.6% การติดต่อจากคนสู่คนมีสัดส่วนสูงถึง 73.16% ส่วนใหญ่มาจากการจัดการอาเจียนที่ไม่ถูกวิธีและการทำความสะอาดที่ไม่เพียงพอในโรงเรียน

อาการและความรุนแรงของโรค

เมื่อติดเชื้อโนโรไวรัส ผู้ป่วยจะมีอาการดังนี้

- ถ่ายเหลวเป็นน้ำ

- ปวดท้อง

- คลื่นไส้

- อาเจียน

- ปวดศีรษะ

- มีไข้ต่ำๆ

- ปวดเมื่อยตามตัว

- อ่อนเพลีย

อาการจะเริ่มแสดงภายใน 24-48 ชั่วโมงหลังได้รับเชื้อ และอาจอยู่นาน 2-3 วัน ในรายที่รุนแรง โดยเฉพาะเด็กที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ อาจเกิดภาวะขาดน้ำรุนแรงจนเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที

กรณีการระบาดในเซี่ยงไฮ้

  • เหตุการณ์ระบาดในเซี่ยงไฮ้เริ่มต้นเมื่อเด็กคนหนึ่งกลับมาเรียนหลังหายจากอาการป่วยครบ 72 ชั่วโมง วันที่ 27 เมษายน 2024 ศูนย์ควบคุมโรคเขตผู่ตงได้รับรายงานว่ามีเด็กหลายคนอาเจียนในโรงเรียนอนุบาล จากการสอบสวนพบว่าเด็กคนแรกเคยมีอาการอาเจียนและท้องเสียที่บ้าน แต่หลังจากหายดีครบ 72 ชั่วโมงจึงกลับมาเรียนในวันที่ 25 เมษายน หลังจากนั้นไม่นาน มีเด็กอีก 11 คนเริ่มแสดงอาการ

เจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้ดำเนินการหลายอย่างเพื่อควบคุมการระบาด ทั้งเพิ่มมาตรการตรวจสอบและทำความสะอาดในโรงเรียน กำหนดให้เด็กที่ป่วยต้องพักอยู่บ้านจนกว่าจะหายดีครบ 72 ชั่วโมงก่อนกลับมาเรียน มีการเก็บตัวอย่างจากเด็กและสิ่งแวดล้อมเพื่อตรวจหาเชื้อ ผลยืนยันว่าเป็นการระบาดของโนโรไวรัส เด็กทุกคนหายเป็นปกติภายในวันที่ 6 พฤษภาคม 2024

เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดในจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก

ช่องว่างภูมิคุ้มกันจากช่วงล็อกดาวน์โควิด-19

การระบาดที่เพิ่มขึ้นในช่วงหลังมีความเชื่อมโยงกับช่องว่างภูมิคุ้มกันที่เกิดขึ้นในช่วงล็อกดาวน์โควิด-19 เพราะมาตรการเว้นระยะห่างและการปิดโรงเรียนทำให้การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อต่างๆ รวมถึงโนโรไวรัสลดลงมาก การที่เด็กถูกกักตัวและมีโอกาสสัมผัสเชื้อน้อยลง ทำให้ไม่ได้สร้างภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ

เมื่อโรงเรียนเปิดอีกครั้งในเดือนกันยายน 2020 และกิจกรรมทางสังคมกลับมาเป็นปกติ จำนวนผู้ป่วยโนโรไวรัสก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เมื่อเด็กๆ กลับมาอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แออัดซึ่งเชื้อแพร่กระจายได้ง่าย การกลับมาสัมผัสเชื้ออย่างฉับพลันนี้นำไปสู่การระบาด โดยเฉพาะในโรงเรียนและศูนย์เด็กเล็กที่เด็กอยู่ใกล้ชิดกัน

เปิดต้นตอ"โนโรไวรัส"ระบาดในจีน ยังไม่มีวัคซีน-ยารักษา แพร่กระจายง่ายมาก

ผลกระทบต่อสาธารณสุข

ปัจจุบันยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาโนโรไวรัสโดยเฉพาะ การรักษาจึงทำได้เพียงบรรเทาอาการ เช่น ให้สารน้ำเพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และให้ยาแก้อาเจียนถ้าจำเป็น ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือขาดน้ำมากอาจต้องนอนโรงพยาบาลเพื่อรับน้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด 

- ล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำและสบู่ (เจลแอลกอฮอล์ไม่สามารถทำลายโนโรไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ) โดยเฉพาะหลังเข้าห้องน้ำ ก่อนกินอาหาร และหลังเปลี่ยนผ้าอ้อม

- หลีกเลี่ยงอาหารและน้ำที่ไม่สะอาด

- ทำความสะอาดพื้นผิวที่ผู้ป่วยสัมผัสหรือที่อาจปนเปื้อนด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

- ผู้ป่วยควรงดทำอาหารให้ผู้อื่นจนกว่าจะหายดีอย่างน้อย 48 ชั่วโมง

- เด็กที่ป่วยควรหยุดเรียนจนกว่าจะหายดีเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ

สรุปได้ว่า เหตุการณ์เหล่านี้แสดงให้เห็นความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโนโรไวรัสในพื้นที่ปิด เช่น โรงเรียน และย้ำเตือนถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามแนวทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ทั้งเรื่องการกักตัวและสุขอนามัย เพื่อลดโอกาสเกิดการระบาดในอนาคตอย่างมีประสิทธิภาพ

ขอบคุณ  Center for Medical Genomics