- 18 ธ.ค. 2567
ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ รพ.รามาธิบดี เตือน "เชื้อโนโรไวรัส" แพร่ทางอากาศอากาศ ภัยเงียบในโรงพยาบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก
วันที่ 16 ธ.ค. 67 ทางด้าน ศูนย์จีโนมทางการแพทย์ โรงพยาบาลรามาธิบดี โพสต์เฟซบุ๊กเพจ Center for Medical Genomics การลอยล่องของโนโรไวรัสในอากาศ: ภัยเงียบในโรงพยาบาลและสถานรับเลี้ยงเด็ก
โนโรไวรัสเป็นสาเหตุหลักของโรคกระเพาะและลำไส้อักเสบจากเชื้อไวรัส มักก่อให้เกิดอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรง การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทำได้ยาก และมักเกิดการระบาดในสถานพยาบาลและสถานเลี้ยงเด็กเล็กบ่อยครั้ง แม้ว่าการติดต่อผ่านการปนเปื้อนอุจจาระสู่ปาก (fecal-oral route) จะเป็นเส้นทางหลักของการแพร่เชื้อ แต่การค้นพบล่าสุดพบว่าเชื้อสามารถแพร่ผ่านแพร่กระจายแบบละอองน้ำ (droplet) และแบบแพร่ทางอากาศ (airborne) ได้เช่นกัน
เชื้อไวรัส มักก่อให้เกิดอาการอาเจียนและท้องเสียอย่างรุนแรง การป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อทำได้ยาก และมักเกิดการระบาดในสถานพยาบาลและสถานเลี้ยงเด็กเล็กบ่อยครั้ง แม้ว่าการติดต่อผ่านการปนเปื้อนอุจจาระสู่ปาก (fecal-oral route) จะเป็นเส้นทางหลักของการแพร่เชื้อ แต่การค้นพบล่าสุดพบว่าเชื้อสามารถแพร่ผ่านแพร่กระจายแบบละอองน้ำ (droplet) และแบบแพร่ทางอากาศ (airborne) ได้เช่นกัน
การศึกษาล่าสุดได้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาการของโรคและการพบเชื้อในอากาศ โดยนักวิจัยได้เก็บตัวอย่างอากาศจากบริเวณใกล้ผู้ป่วยโนโรไวรัส 26 ราย วิเคราะห์หาสารพันธุกรรมของเชื้อด้วยวิธี RT-PCR พร้อมทั้งบันทึกระยะเวลาตั้งแต่การอาเจียนและท้องเสียครั้งล่าสุดของผู้ป่วยแต่ละราย ผลการศึกษาพบสารพันธุกรรมของเชื้อใน 21 ตัวอย่าง (24%) จากทั้งหมด 86 ตัวอย่าง จากผู้ป่วย 10 ราย
การศึกษาพบความสัมพันธ์อย่างมีนัยสำคัญระหว่างการตรวจพบไวรัสในอากาศกับระยะเวลาที่ผ่านไปหลังจากการอาเจียน โดยเฉพาะในช่วง 3 ชั่วโมงหลังการอาเจียน ซึ่งมีโอกาสตรวจพบโนโรไวรัสสูงถึง 64% ความเข้มข้นของเชื้อในอากาศอยู่ระหว่าง 5-215 copies/m³ และพบในอนุภาคทั้งขนาดเล็กกว่า 0.95 ไมโครเมตรและใหญ่กว่า 4.51 ไมโครเมตร
อนุภาคของละอองน้ำขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอนสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานหลายชั่วโมง โดยเฉพาะอนุภาคขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอนที่พบในการศึกษานี้ มีแนวโน้มที่จะลอยอยู่ในอากาศได้นานกว่าอนุภาคขนาดใหญ่ อนุภาคเหล่านี้สามารถถูกพัดพาไปได้ไกลโดยกระแสอากาศ และมีโอกาส 10-30% ที่จะตกค้างในปาก จมูก หรือทางเดินหายใจเมื่อถูกสูดดมเข้าไป
จากการศึกษานี้ชี้ว่าการอาเจียนที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นแหล่งสำคัญของเชื้อโนโรไวรัสในอากาศ และมีความเชื่อมโยงกับการระบาด การพบเชื้อในอนุภาคขนาดเล็กระดับไมโครเมตรแสดงให้เห็นว่าการแพร่ผ่านอากาศอาจเป็นเส้นทางสำคัญในการแพร่กระจายของเชื้อ ความเข้มข้นของไวรัสในอากาศที่ตรวจพบอยู่ในระดับที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อได้
- เปรียบเทียบระหว่างการแพร่กระจายแบบละอองน้ำ (droplet) และแบบแพร่ทางอากาศ (airborne) ของไวรัสโนโรไวรัส
การแพร่กระจายแบบละอองน้ำ (droplet transmission):
- อนุภาคมีขนาดใหญ่กว่า 5 ไมครอน
- แพร่กระจายได้ในระยะสั้น ๆ ประมาณ 1-2 เมตร
- ตกลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว
- เกิดจากการไอ จาม หรืออาเจียน
- ป้องกันได้ด้วยหน้ากากอนามัยและการเว้นระยะห่าง
การแพร่กระจายทางอากาศ (airborne transmission):
- อนุภาคมีขนาดเล็กกว่าหรือเท่ากับ 5 ไมครอน
- แพร่กระจายได้ในระยะไกล
- ลอยอยู่ในอากาศได้นาน
- เกิดจากการอาเจียนและการใช้ห้องน้ำ แขวยลอยอยู่ได้นานกว่า 3 ชั่วโมงในห้องปิด
- ต้องใช้หน้ากาก N95 และห้องความดันลบในการป้องกัน
การศึกษานี้พบว่าโนโรไวรัสสามารถแพร่กระจายได้ทั้งทางละอองและทางอากาศ โดยตรวจพบ RNA ของไวรัสในอนุภาคขนาดเล็กกว่า 0.95 ไมครอนและใหญ่กว่า 4.51 ไมครอน แสดงให้เห็นว่าสามารถแพร่กระจายได้ทั้งในละอองขนาดใหญ่และอนุภาคขนาดเล็กในอากาศ การตรวจพบในอนุภาคขนาดเล็กมากบ่งชี้ว่าอาจแพร่กระจายทางอากาศได้ไกลและนานกว่าที่เคยเข้าใจ