- 30 ม.ค. 2568
รู้หรือไม่ ไฟฉุกเฉิน หลายคนใช้ผิดมาตลอด จริงๆ ใช้แค่ 2 กรณีเท่านั้น เพื่อความปลอดภัยในการใช้รถใช้ถนน ข้อควรรู้เกี่ยวกับ ไฟฉุกเฉิน หรือ ไฟผ่าหมาก มีอะไรบ้างเราสรุปไว้ให้ ดังนี้คะ
รู้หรือไม่ “ไฟฉุกเฉิน” หลายคนใช้ผิดมาตลอด ใช้แค่ 2 กรณีเท่านั้น สำหรับ ไฟฉุกเฉิน หรือที่หลายคนเรียกว่า "ไฟผ่าหมาก" เป็นสัญญาณไฟที่สำคัญสำหรับรถยนต์ แต่กลับมีการใช้งานที่ผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งอาจนำไปสู่อันตรายบนท้องถนนได้ บทความนี้จะมาไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้ไฟฉุกเฉินที่ถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้รถใช้ถนนทุกคน
ไฟฉุกเฉิน หลายคนใช้ผิดมาตลอด ใช้แค่ 2 กรณีเท่านั้น
ไฟฉุกเฉินคืออะไร? ไฟฉุกเฉินเป็นสัญญาณไฟที่กะพริบพร้อมกันทั้ง 4 ดวงของรถยนต์ (คู่หน้าและคู่หลัง) มีสัญลักษณ์เป็นรูปสามเหลี่ยมสีแดงอยู่ตรงกลางปุ่มเปิด-ปิด โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเตือนผู้ร่วมทางให้ระมัดระวังเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่ปกติกับรถ
ไฟฉุกเฉิน หลายคนใช้ผิดมาตลอด ใช้แค่ 2 กรณีเท่านั้น
ใช้ไฟฉุกเฉินเมื่อไหร่? ตามกฎหมายจราจรและหลักปฏิบัติสากล ไฟฉุกเฉินควรใช้ใน 2 กรณีเท่านั้น ได้แก่
- รถเสียหรือมีเหตุฉุกเฉิน เมื่อรถยนต์เกิดปัญหาจนไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ เช่น เครื่องยนต์ขัดข้อง ยางแตก หรือเกิดอุบัติเหตุ การเปิดไฟฉุกเฉินจะช่วยเตือนรถคันอื่น ๆ ให้ทราบว่ารถของคุณจอดอยู่กับที่และอาจกีดขวางการจราจร
- เบรกกะทันหัน ในกรณีที่ต้องเบรกอย่างกะทันหันเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ หรือมีสิ่งกีดขวางบนท้องถนน การเปิดไฟฉุกเฉินจะช่วยเตือนรถที่ตามมาให้ชะลอความเร็วและเพิ่มความระมัดระวัง
กรณีที่ไม่ควรใช้ไฟฉุกเฉิน
- ฝนตกหนัก การเปิดไฟฉุกเฉินขณะฝนตกหนักจะทำให้รถคันอื่นเข้าใจผิดและอาจเกิดอุบัติเหตุได้
- ขับผ่านสี่แยก การเปิดไฟฉุกเฉินขณะขับผ่านสี่แยกจะทำให้รถคันอื่นสับสนและอาจเกิดอุบัติเหตุได้
- จอดในที่ห้ามจอด การเปิดไฟฉุกเฉินขณะจอดในที่ห้ามจอดถือเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย
- เพื่อขอบคุณ การเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อขอบคุณรถคันอื่นที่ให้ทาง เป็นการใช้ที่ไม่ถูกต้องและอาจสร้างความสับสนให้กับผู้ร่วมทาง
ข้อควรจำ
- ไฟฉุกเฉินไม่ใช่ไฟขอทาง
- การใช้ไฟฉุกเฉินพร่ำเพรื่อ อาจทำให้ผู้ร่วมทางเข้าใจผิดและเกิดอันตรายได้
- ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ไฟฉุกเฉินอย่างถูกต้อง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่
สรุป
ไฟฉุกเฉิน เป็น สัญญาณไฟ ที่มีประโยชน์อย่างมาก หากใช้อย่างถูกต้องตามวัตถุประสงค์ การใช้ไฟฉุกเฉินอย่างถูกต้องจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุและสร้างความปลอดภัยบนท้องถนนให้กับทุกคน