- 04 ต.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวดีๆ อีกมากมายได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th
เป็นเรื่องสั้นที่ผู้เขียนใน Pantip โพสต์โดย ผู้หญิงเลือดเย็น เมื่อวันพ่อแห่งชาติ ปี๒๕๕๔ เป็นเรื่องสั้นวันพ่อ ซึ่งเมื่ออ่านแล้วทำให้เรารู้สึก ซาบซึ้ง น้ำตาไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
เรื่องสั้น “ต้นไม้ของพ่อ” โดย น้ำฟ้า
ทุกๆ เช้าฉันมักจะเห็น “ เด็กคนนั้น ” วิ่งไปตามถนนสายเล็กๆอันเต็มไปด้วยดอกหญ้าสีขาวทอดยาวไปจนจรดลำธารใส ซึ่งไหลรินมาจากน้ำตกที่อยู่บนดอยอีกลูกหนึ่ง แล้วจึงกลับมาเข้าแถวเคารพธงชาติ ด้วยใบหน้าอันอิ่มเอมไปด้วยความสุข..
....ฉันเพิ่งได้รับคำสั่งบรรจุเป็นครูบนดอยแม่ลาผาเมื่อครึ่งเดือนก่อน จึงยังไม่รู้จักเด็กคนนั้นเท่าไรนัก แต่เมื่อซักถามครูรุ่นพี่ก็ได้คำตอบกลั้วหัวเราะว่า
“ เขาชื่ออาหู่ เป็นเด็กกำพร้า เรียนหนังสือไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก วันๆเอาแต่วิ่งไปบนดอยลูกโน้น บอกว่าตัวเองต้องดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ”
“ พ่อหลวงหมายถึง ...” ฉันถามต่อ
“ ก็หมายถึงในหลวงนั่นแหละ น้องนิตยาไม่ต้องไปสนใจหรอก ”
...ถึงแม้รุ่นพี่จะบอกว่าไม่ต้องสนใจหรอก แต่ฉันกลับรู้สึกสนใจเรื่องราวของอาหู่อยู่ครามครัน แต่อย่างไรก็ดีภาระงานของฉันกลับเพิ่มขึ้นทุกวัน จึงทำให้ค่อยๆลืมเลือนเรื่องราวของอาหู่ไป
แล้วเรื่องราวของเด็กน้อยก็เข้ามามีอิทธิพลต่อความคิดของฉันในวันหนึ่ง
เวลาล่วงเลยผ่านไปถึงหนึ่งปี มีการจัดชั้นเรียนขึ้นใหม่ ฉันได้เป็นครูประจำชั้นที่อาหู่เรียนอยู่ เขามีพฤติกรรมเหมือนที่รุ่นพี่ได้บอกไว้ไม่มีผิดเพี้ยน อาหู่เป็นเด็กที่เรียนรู้ได้ช้ากว่าเพื่อนๆ ฉันจึงต้องนัดให้เขามาฝึกอ่านเป็นการส่วนตัวในตอนเช้าและหลังเลิกเรียน
“ ไม่ได้หรอกครู ตอนเช้าผมต้องไปดูแลต้นไม้ของพ่อหลวง ” เด็กชายดวงตายาวรีค้านด้วยสำเนียงแปร่งๆตามประสาชาวเขาที่พูดไทยไม่ชัด
ฉันขมวดคิ้วอย่างขุ่นเคือง การที่ฉันเสียเวลาส่วนตัวมาสอนเขานั้น ทำให้ฉันต้องทำงานบ้านหลังพระอาทิตย์ตกดิน ซึ่งเป็นเวลาที่อากาศบนดอยนั้นหนาวเย็นเหลือเกิน แต่เขากลับปฏิเสธความหวังดีเสียดื้อๆ ฉันจึงยอมไม่ได้เป็นอันขาด
“ ต้นไม้อะไรของเธอ เธอไม่รู้หรืออาหู่ ว่าตัวเองเรียนไม่ทันเพื่อน ยังไงๆเธอก็ต้องมาเรียนกับครูทุกๆเจ็ดโมงเช้า แล้วก็หลังเลิกเรียน ”
ฉันจำได้ว่าวันนั้นอาหู่มีสีหน้าสลดลงอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อถึงวันรุ่งขึ้นเด็กชายก็มาตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ จนนานวันเข้า.....การเรียนของอาหู่เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะการทบทวนซ้ำหลายๆครั้ง ทำให้เขาเกิดความเข้าใจ แต่แล้ววันหนึ่งอาหู่กลับไม่มาโรงเรียน อาลีซึ่งอยู่ข้างบ้านเป็นคนมาบอกฉันว่าเขาลาป่วย
“ อาหู่เป็นอะไรไปอาลี ” ฉันถามอย่างห่วงใย
“ เขาเป็นไข้มาหลายวันแล้วค่ะครู ”
“ แล้วใครดูแลเขาล่ะตอนนี้ ”
“ แม่ของเขาไปทำงานที่ไร่ เขาก็เลยนอนอยู่บ้านคนเดียวค่ะ ”
เด็กน้อยพูดจบแล้วทำท่าจะผละไป
“ อาลี หลังเลิกเรียนพาครูไปเยี่ยมอาหู่ที่บ้านได้ไหม ”
เด็กหญิงอาลีมองหน้าของฉันด้วยดวงตาใสแจ๋ว แล้วจึงพยักหน้าหงึกหงัก
“ ได้ค่ะ แล้วหนูจะมาหาครูนะคะ ”
ฉันมองตามร่างเล็กๆ ในชุดนักเรียนขะมุกขะมอม ซึ่งวิ่งหายไปในสายหมอกที่โรยตัวลงมาอย่างหนาตา บนดอยสูงแห่งนี้กว่าลำแสงแรกของดวงอาทิตย์จะแหวกหมอกหนาออกมาได้ ก็กินเวลาเกือบสิบโมงเข้าไปแล้ว
ฉันเดินตามอาลีไปบนถนนแคบๆที่มีดอกหญ้าสีขาวขึ้นอยู่ประปราย แม้ท้องฟ้าจะยังมีแสงสีทองระเรื่อฉาบเหนือเทือกเขาลูกถัดไป แต่ความเย็นชื้นๆของน้ำค้างก็เริ่มแผ่ตัวเข้ามาอย่างช้าๆ
บ้านของอาหู่เป็นบ้านหลังเล็กๆยกพื้นขึ้นมาราวครึ่งเมตร เมื่อก้าวขึ้นบันไดที่มีเพียงสามขั้นแล้วก็จะต้องผ่านห้องครัวซึ่งเป็นเพียงชานโล่งๆมีเครื่องครัววางอยู่ระเกะระกะก่อน จึงได้พบร่างของเด็กชายนอนคุดคู้อยู่ใต้ผ้าห่มสีเทาที่มีกลิ่นอับๆโชยมา ฉันทรุดลงนั่งตามอาลี เด็กหญิงใช้มือเขย่าแขนของเพื่อนเบาๆ โดยที่ฉันห้ามไม่ทัน
อาหู่ค่อยๆ ปรือตาขึ้น เมื่อเห็นหน้าฉันเขาจึงยกมือไหว้แล้วพยายามลุกขึ้นจากที่นอน
“ ไม่ต้องหรอกอาหู่ นอนลงเถอะ ครูได้ยินว่าเธอไม่สบายก็เลยมาเยี่ยม ”
“ ขอบคุณครับครูนิตยา ” น้ำเสียงของเด็กชายแหบพร่า
เสียงคนวางของดังโครมครามอยู่หลังบ้าน ไม่นานหญิงวัยกลางคนแต่งกายเช่นเดียวกับหญิงชาวอาข่าโดยทั่วไปก็ก้าวขึ้นมาบนบ้าน อาลีจึงชิงแนะนำขึ้นก่อน
“ ป้าอายอนี่ครูนิตยา ครูเขามาเยี่ยมอาหู่ ”
อายอพยักหน้ารับรู้แล้วจึงนั่งลงข้างๆ ฉัน
อาหู่หลับไปแล้ว ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณ แต่เมื่อผ่านไปราวสิบนาทีอายอก็กล่าวขึ้นมาก่อน
“ อาหู่มันตัวร้อนมาหลายวันแล้วนะครู เฮาก็เลยให้มันหยุดเรียน ”
“ ไม่เป็นไรหรอกอายอ ถ้าหายดีค่อยไปเรียนก็ได้ แล้วนี่ทำไมอาหู่ถึงเป็นไข้หนักแบบนี่ล่ะ กินยาไปหรือยัง ”
“ กินยาแล้วแต่ยังไม่หาย ตอนแรกก็เป็นไม่เยอะหรอกครู แต่ทุกเช้าอาหู่ก็ยังไปรดน้ำต้นไม้บนดอยลูกโน้น ก็เลยเป็นหนัก ” อายอเล่าพลางถอนใจ
ฉันหันหน้าไปมองใบหน้าขาวซีดของผู้พูด แล้วย้อนถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“ ครูก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจต้นไม้ต้นนั้นนัก อายอพอจะเล่าให้ฟังได้ไหม
หญิงกลางคนพยักหน้า
“เมื่อห้าปีก่อน พ่อหลวงกับพระราชินีท่านมาที่หมู่บ้านของเฮา ” อายอเล่าด้วยภาษาชาวบ้าน
“ ตอนนั้นอาผ่าพ่อของอาหู่ไม่สบาย พ่อหลวงท่านก็เลยให้หมอมารักษา อาผ่าบอกว่าเขาโชคดีที่ได้เห็นพ่อหลวงกับพระราชินีใกล้ๆ เพราะเขาเทิดทูนบูชาท่านมาก ”น้ำใสๆเอ่อคลอสองตาของผู้เล่า
“ อาผ่าบอกว่าท่านใส่ใจกับทุกอย่างบนแผ่นดินนี้ วันนั้นท่านเห็นฝักก้ามปูตกอยู่ อาผ่าอยู่ใกล้ๆท่านก็เลยยื่นให้ แล้วบอกว่า ‘ในฝักนี้เป็นต้นกำเนิดของต้นไม้อีกหลายต้น ที่จะทำให้บ้านเมืองของเรามีป่าไม้ไว้ให้ลูกหลาน ’ อาผ่ารับฝักนั้นมาอย่างยินดี เขาเพาะมันจนกลายเป็นต้นกล้าเล็กๆ แล้วชวนอาหู่ไปปลูกไว้ที่ดอยลูกโน้น สองพ่อลูกดูแลมันอย่างดีตลอดมา ตอนหลังเมื่ออาผ่าตาย อาหู่ก็เลยดูแลต้นก้ามปูแทนพ่อ ”
เมื่อเล่าจบอายอก็ยกมือไหว้ท่วมหัว ฉันเข้าใจดีว่า อายอมีความรู้สึกเช่นไร
“ ครูเข้าใจแล้วล่ะอายอ ว่าทำไมอาหู่ถึงใส่ใจก้ามปูต้นนั้นนัก ”
ฉันหันไปมองอาลีซึ่งนั่งฟังตาแป๋ว แล้วยิ้ม
“ อาหู่เป็นตัวอย่างที่ดี ต่อไปก้ามปูต้นนั้นก็จะเติบโต แล้วเป็นต้นกำเนิดของก้ามปูต้นอื่นๆอีกหลายต้น ในหลวงท่านทรงมีพระอัจฉริยภาพในการพัฒนาทุกๆด้าน โดยเฉพาะทรงอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งเป็นประโยชน์อเนกอนันต์ต่อประเทศเกษตรกรรมอย่างประเทศของเรา และทรงเสียสละทุ่มเทอย่างยากที่จะมีพระมหากษัตริย์ของชาติใดเสมอเหมือน ”
อาลียิ้มตอบด้วยดวงตาเป็นประกาย
“ หนูจะเริ่มอนุรักษ์ป่าไม้ตั้งแต่วันนี้เลยค่ะครู ในหลวงท่านจะได้ภูมิใจ ”
ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นที่ปลื้มใจในคำพูดของเด็กน้อย หากคนไทยทุกคนได้รับรู้ว่าเด็กสิบขวบมีจิตสำนึกที่ดีงามเช่นนี้ ฉันเชื่อว่าทุกคนก็ต้องภาคภูมิใจเช่นเดียวกัน
แดดจางๆดูดกลืนหมอกขาวโพลนให้เลือนหายไป ทิ้งไว้เพียงหยดน้ำที่ค้างอยู่ในกลีบดอกไม้และยอดหญ้า ฉันกำลังใช้บัวรดน้ำขนาดเล็กรดน้ำต้นพริกที่ปลูกไว้ข้างโรงอาหาร แต่เสียงรองเท้าวิ่งมาตึงตังก็ทำให้ฉันต้องหันหลังไปดู
“ ครูคะไปกับหนูก่อนค่ะ ”
อาลีบอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่อยู่ในอาการหอบแฮ่กๆ
“ ไปไหนอาลี ”
เด็กหญิงไม่ตอบ แต่กลับดึงแขนของฉันเบาๆให้ก้าวตามไป ฉันจึงวางบัวรดน้ำไว้บนชั้นวางแล้วเดินแกมวิ่งตามเด็กน้อยที่วิ่งปรื๋อไปอย่างรวดเร็ว
อาลีวิ่งไปตามทางลาดชันเต็มไปด้วยหินขรุขระ ฉันจึงต้องค่อยๆเดินเพราะยังไม่ชิน ครู่ใหญ่เด็กน้อยก็ไปยืนโบกมือหยอยๆใต้ต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่นคู่กับเด็กอีกคนหนึ่ง ฉันจึงเร่งฝีเท้าเข้าไปหา
“ อาหู่ ”
อาหู่นั่นเองที่ยืนอยู่กับอาลี ใบหน้าของเด็กชายยิ้มละไมและเต็มไปด้วยสีเลือดฝาด แสดงว่าเขาคงหายจากอาการไข้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ฉันยืนหอบอยู่พักใหญ่ก่อนจะย้อนถามเด็กทั้งสอง
“ ทั้งสองคนพาครูมาที่นี่ทำไม ”
อาลีหันไปยิ้มให้เพื่อน อาหู่จึงเป็นผู้ตอบเสียเอง
“ นี่ไงครับครู ต้นก้ามปูของพ่อหลวง ผมกับอาลีพาครูมาดูดอกก้ามปูดอกแรก ที่เพิ่งออกดอกเมื่อวานนี้ ครูเงยหน้าขึ้นไปมองสิครับ ”
ฉันทำตามอย่างว่าง่าย ก้ามปูต้นใหญ่สีเขียว แผ่กิ่งก้านสาขาสล้างไปทั่วบริเวณ เมื่อมองเลยขึ้นไป พบว่าบนกิ่งกิ่งหนึ่งกำลังออกดอกสีขาวขลิบแดงสดใสน่ามอง ฉันจึงหันมายิ้มให้ทั้งสองคน
“ อาหู่กับพ่อเก่งจังเลยนะอาลี ”
“ ใช่ค่ะครู ” อาลีเห็นด้วย
“ ต่อไปทั้งสองคนต้องไปเชิญชวนเพื่อนๆ ให้ปลูกต้นไม้กันเยอะๆ นะ..รู้มั้ย ต้นไม้มีประโยชน์มากมาย อีกทั้งยังช่วยลดโลกร้อนได้อีกด้วย ถ้าเด็กๆทุกคนมีจิตสำนึกรักษ์ป่า ต่อไปโลกของเราก็จะเป็นโลกที่เต็มไปด้วยสีเขียว สมดังที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงตั้งพระทัยเอาไว้ยังไงล่ะ แต่ตอนนี้เด็กๆ ต้องรีบกลับไปเข้าแถวแล้ว ”
เสียงระฆังเข้าเรียนดังมาจากดอยอีกลูกหนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงเรียน เราทั้งสามคนวิ่งลงดอยอย่างทุลักทุเล แต่ในหัวใจนั้นกลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ที่ได้เห็นความงดงามจากสีเขียวของต้นไม้
ที่มา : Pantip โพสต์โดย ผู้หญิงเลือดเย็น เมื่อวันพ่อแห่งชาติ 54 เรื่องสั้นวันพ่อ
ขอขอบคุณ ชมรมคนรักในหลวงจังหวัดเพชรบูรณ์
ขอขอบคุณ www.welovethaiking.com