- 23 ธ.ค. 2559
ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://panyayan.tnews.co.th/
เรื่องเล่าในครั้งนี้ นำมาจากชาดก เมื่อครั้งพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นพระโพธิสัตว์พญาครุฑ และพระสารีบุตรพญานาคราช
พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาครุฑ(ผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม)
พระศาสดา เมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภการที่พระเทวทัตทำมุสาวาทแล้วถูกแผ่นดินสูบ ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า วิกิณฺณวาจํ ดังนี้.
“บุคคลไม่พึงประทุษร้ายต่อมิตร เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทรามที่สุด จะหาคนอื่นที่เลวกว่าเป็นไม่มี ชีเปลือยถูกอสรพิษกำจัดแล้วในแผ่นดิน ทั้งที่ได้ปฏิญญาว่าเรามีสังวร ก็ได้ถูกทำลายลงด้วยคำของพญานาคราช”
ความย่อว่า เมื่อพวกภิกษุพากันกล่าวโทษพระเทวทัต ในคราวนั้น พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาท ถูกแผ่นดินสูบแล้วเหมือนกัน ดังนี้ แล้วทรงนำอดีตนิทานมาตรัส ดังต่อไปนี้
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในพระนครพาราณสี พ่อค้า ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปยังมหาสมุทร ในวันคำรบเจ็ด สำเภาอันอยู่ในที่ซึ่งแลไม่เห็นฝั่ง ได้แตกลงในหลังมหาสมุทร ผู้คนได้เป็นเหยื่อแห่งปลาและเต่าหมด มีเหลือเพียงคนเดียว
ก็บุรุษที่เหลือคนเดียวนั้น ด้วยกำลังลมพัดลอยไปถึงท่าชื่อกทัมพิยะ เขาขึ้นจากทะเลได้แล้ว เปลือยกายล่อนจ้อน เที่ยวขอทานตามท่านั้น.
มนุษย์ทั้งหลายเห็นเขาเข้าก็พากันสรรเสริญว่า ท่านผู้นี้เป็นสมณะ มักน้อยสันโดษ แล้วทำสักการะบูชา.
เขาคิดว่า เราได้ช่องทางหาเลี้ยงชีพแล้ว แม้เมื่อชนเหล่านั้นให้เครื่องนุ่งห่ม ก็มิได้ปรารถนา
ชนเหล่านั้นเข้าใจว่า สมณะผู้มักน้อยยิ่งกว่าท่านผู้นี้ไม่มี ดังนี้แล้วพากันเลื่อมใสยิ่งขึ้น ช่วยกันสร้างอาศรมบทให้ชีเปลือยนั้นพำนักอยู่ที่นั้น.
เขามีชื่อปรากฏว่ากทัมพิยอเจลก เมื่อเขาอยู่ ณ ที่นั้น ลาภสักการะเกิดขึ้นมากมาย
พญานาคราชตนหนึ่งกับพญาครุฑตนหนึ่ง พากันมายังที่บำรุงของชีเปลือยนั้น ในพญาสัตว์ทั้งสองนั้น พญานาคชื่อว่า ปัณฑรกนาคราช.
อยู่มาวันหนึ่ง พญาครุฑไปยังสำนักชีเปลือยนั้น ไหว้แล้วจับอยู่ ณ ที่ส่วนข้างหนึ่ง กล่าวอย่างนี้ว่า
ท่านขอรับ ญาติของกระผม เมื่อจับพวกนาคย่อมพินาศไปเสียมากมาย เพราะพวกกระผมไม่รู้วิธีที่จะจับนาค
ได้ยินว่าเหตุที่ซ่อนเร้นของพวกนาคเหล่านั้นมีอยู่ ท่านจะสามารถหรือหนอ เพื่อประเล้าประโลมถามเหตุนั้นกะพวกนาค.
ชีเปลือยรับคำแล้ว ครั้นพญาครุฑไหว้แล้วลากลับไป
ในเวลาที่พญานาคมาหา จึงถามพญานาคผู้ไหว้แล้วนั่งพักอยู่ว่า พญานาคเอ๋ย เขาว่า เมื่อพวกครุฑจับพวกท่าน ต้องพินาศไปมากมาย ทำไมเมื่อมันจะจับพวกท่าน จึงไม่สามารถจะจับได้?
พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ ข้อนี้เป็นเหตุซ่อนเร้นลึกลับของพวกกระผม เมื่อกระผมบอกเหตุนี้แล้ว ย่อมได้ชื่อว่านำความตายมาให้แก่หมู่ญาติ.
ชีเปลือยจึงพูดว่า อาวุโส ก็ท่านเข้าใจว่า คนอย่างเรานี้จักบอกแก่คนอื่นอย่างนี้หรือ เราจักไม่บอกแก่คนอื่นเลย ก็เราถามเนื่องด้วยตนอยากจะรู้ ท่านเชื่อเราแล้วต้องปลอดภัย จงบอกเถิด.
พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ กระผมบอกไม่ได้ ไหว้แล้วก็ลาหลีกไป.
แม้ในวันรุ่งขึ้น ชีเปลือยก็ถามอีก. แม้ถึงอย่างนั้น พญานาคก็ไม่ยอมบอกดุจเดิม
ครั้นต่อมาในวันที่ ๓ ชีเปลือยจึงถามพญานาคผู้มานั่งอยู่ว่า วันนี้เป็นวันที่ ๓ เมื่อเราถาม ทำไมท่านจึงไม่บอก?
พญานาคตอบว่า ท่านขอรับ เพราะกระผมกลัวว่าท่านจักบอกแก่คนอื่น.
ชีเปลือยย้ำว่า เราจักไม่บอกใคร ท่านปลอดภัยแน่ จงบอกเถิด.
พญานาคจึงกล่าวว่า ท่านขอรับ ถ้าเช่นนั้น ท่านโปรดอย่าบอกคนอื่นเลย รับปฏิญญาแล้ว จึงบอกว่า ท่านขอรับ พวกกระผมกลืนกินก้อนหินใหญ่เข้าไว้ ทำตัวให้หนักนอนอยู่ ในเวลาพวกครุฑมา ก็ยื่นหน้าออกแยกเขี้ยวคอยจะขบครุฑ พวกครุฑมาถึงก็จับศีรษะของพวกกระผมไว้ เมื่อมันพยายามจะฉุดพวกกระผม ซึ่งเป็นเหมือนภาระหนักอึ้งนอนอยู่ขึ้น น้ำก็ท่วมทับมัน พวกมันก็ตายภายในน้ำนั้นเอง
ด้วยเหตุนี้ พวกครุฑจึงพินาศไปเป็นจำนวนมาก เมื่อพวกมันจะจับพวกกระผม ทำไมจะต้องจับที่ศีรษะ พวกครุฑโง่ๆ จะต้องจับที่ขนดหาง ทำให้พวกกระผมมีศีรษะห้อยลงเบื้องต่ำ ให้สำรอกอาหารที่กลืนไว้ออกทางปาก ทำตัวให้เบาแล้วอาจจะจับไปได้
พญานาคบอกเหตุเร้นลับของตนแก่ชีเปลือยผู้ทุศีล ด้วยประการฉะนี้.
ครั้นเมื่อพญานาคลากลับไปแล้ว ต่อมาพญาครุฑมาไหว้กทัมพิยอเจลกแล้วถามว่า ท่านขอรับ ท่านถามเหตุซ่อนเร้นของพญานาคแล้วหรือ?
ชีเปลือยตอบว่า เอออาวุโส แล้วบอกความตามที่พญานาคบอกแก่ตนนั้นทุกประการ.
พญาครุฑได้ฟังเช่นนั้นจึงคิดว่า พญานาคทำกรรมที่ไม่สมควรเสียแล้ว ธรรมดาลู่ทางที่จะให้มวลญาติฉิบหาย ไม่ควรบอกแก่คนอื่นเลย ถึงทีเราแล้ว วันนี้ควรที่เราจะต้องทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชนี้ก่อนทีเดียว.
พญาครุฑนั้นก็กระทำลมกำลังสุบรรณ จับปัณฑรกนาคราชทางขนดหางทำให้มีศีรษะห้อยลง ทำให้สำรอกอาหารที่กลืนเข้าไป แล้วโผขึ้นบินไปในอากาศ.
ปัณฑรกนาคราช เมื่อต้องห้อยศีรษะลงในอากาศ ก็ปริเทวนาการว่า เรานำทุกข์มาให้แก่ตัวเองแท้ๆ กล่าวคาถาความว่า
ภัยเกิดจากตนเอง ย่อมตามถึงบุคคลผู้ไร้ปัญญา พูดพล่อยๆ ไม่ปิดบังความรู้ ขาดความระมัดระวัง ขาดความพินิจพิจารณา เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น.
นรชนใดยินดีบอกมนต์ลึกลับที่ตนควรจะรักษาแก่คนชั่ว เพราะความหลง ภัยย่อมตามถึงนรชนนั้นผู้มีมนต์อันแพร่งพรายแล้วโดยพลัน เหมือนครุฑตามถึงเราผู้ปัณฑรกนาคราช ฉะนั้น.
มิตรเทียมไม่ควรจะให้รู้เหตุสำคัญอันลึกลับ ถึงมิตรแท้แต่เป็นคนโง่ หรือมีปัญญาแต่ประพฤติสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ก็ไม่ควรจะให้รู้ความลับเหมือนกัน.
เราได้ถึงความคุ้นเคยกับชีเปลือย ด้วยเข้าใจว่า สมณะนี้โลกเขานับถือ มีตนอบรมดีแล้ว ได้บอกเปิดเผยความลับแก่มัน จึงได้ล่วงเลยประโยชน์ ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น.
ดูก่อนพญาครุฑที่ประเสริฐ เมื่อก่อนเรามีวาจาปกปิด ไม่บอกความลับแก่มัน แต่ก็ไม่อาจระมัดระวังได้ แท้จริง ภัยได้มาถึงเราจากทางชีเปลือยนั้น เราจึงได้ล่วงเลยประโยชน์ ร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้า ฉะนั้น.
นรชนใดสำคัญว่า ผู้นี้มีใจดี บอกความลับกะคนสกุลทราม นรชนนั้นเป็นคนโง่เขลา ทรุดโทรมลงโดยไม่ต้องสงสัย เพราะโทสาคติ ภยาคติ หรือเพราะฉันทาคติ.
ผู้ใดปากบอนนับเข้าในพวกอสัตบุรุษ ชอบกล่าวถ้อยคำในที่ประชุมชน นักปราชญ์ทั้งหลายเรียกผู้นั้นว่า ผู้มีปากชั่วร้าย คล้ายอสรพิษ ควรระมัดระวังคนเช่นนั้นเสียให้ห่างไกล.
เราได้ละทิ้ง ข้าว น้ำ ผ้าแคว้นกาสี และจุรณจันทน์ สตรีที่เจริญใจดอกไม้และเครื่องชโลมทาซึ่งเป็นส่วนกามารมณ์ทั้งปวงไปหมดแล้ว ดูก่อนพญาครุฑ เราขอถึงท่านเป็นสรณะด้วยชีวิต.
ปัณฑรกนาคราชมีศีรษะห้อยลงในอากาศ ปริเทวนาการด้วยคาถาทั้ง ๘ อยู่อย่างนี้.
พญาครุฑได้ยินเสียงปริเทวนาการของพญานาคราชนั้น จึงติเตียนพญานาคราชนั้นว่า ท่านนาคราช ท่านบอกความลับของตนแก่ชีเปลือยแล้ว ทำไมบัดนี้จึงปริเทวนาการอยู่เล่า แล้วกล่าวคาถาความว่า
ดูก่อนปัณฑรกนาคราช บรรดาสัตว์ทั้ง ๓ จำพวก คือสมณะ ครุฑ และนาค ใครหนอควรจะได้รับคำติเตียนในโลกนี้ ที่จริงตัวท่านนั่นแหละควรจะได้รับ ท่านถูกครุฑจับเพราะเหตุไร.
ปัณฑรกนาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถาความว่า
ชีเปลือยนั้นเป็นผู้มีอัตภาพ อันเรายกย่องว่าเป็นสมณะ เป็นที่รักของเรา ทั้งเป็นผู้อันเรายกย่องด้วยใจจริง เราจึงบอกเปิดเผยความลับแก่มัน เราเป็นคนขาดประโยชน์แล้ว ต้องร้องไห้อยู่ดุจคนกำพร้าฉะนั้น.
ลำดับนั้น พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๔ คาถาความว่า
แท้จริง สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีเลยในแผ่นดิน ธรรมชาติเช่นกับปัญญาไม่ควรติเตียน คนในโลกนี้ย่อมบรรลุคุณวิเศษที่ยังไม่ได้ เพราะสัจจธรรม ปัญญาและทมะ.
มารดาบิดาเป็นยอดเยี่ยมแห่งเผ่าพันธุ์ คนที่สามชื่อว่ามีความอนุเคราะห์แก่บุตรนั้น ไม่มีเลย เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรบอกความลับสำคัญ แม้แก่มารดาบิดานั้น.
เมื่อบุคคลรังเกียจว่ามนต์จะแตก ก็ไม่ควรแพร่งพรายความลับที่สำคัญ แม้แก่บิดามารดา พี่สาว น้องสาว พี่ชาย น้องชาย หรือแก่สหาย แก่ญาติฝ่ายเดียวกับตน.
ถ้าภรรยาสาวพูดไพเราะ ถึงพร้อมด้วยบุตรธิดา รูปและยศ ห้อมล้อมด้วยหมู่ญาติ จะพึงกล่าวอ้อนวอนสามีให้บอกความลับ เมื่อรังเกียจว่ามนต์จะแตก ไม่ควรแพร่งพรายความลับสำคัญ แม้แก่ภรรยานั้น.
พญาครุฑกล่าวคำเป็นคาถาต่อไปอีก ความว่า
บุคคลไม่ควรเปิดเผยความลับเลย ควรรักษาความลับนั้นไว้ เหมือนรักษาขุมทรัพย์ ความลับอันบุคคลอื่นรู้เข้าทำให้แพร่งพราย ไม่ดีเลย.
คนฉลาดไม่ควรขยายความลับแก่สตรี ศัตรู คนมุ่งอามิส และแก่คนผู้หมายล้วงดวงใจ.
คนใดให้ผู้ไม่มีความคิดล่วงรู้ความลับ ถึงแม้เขาจะเป็นคนใช้ของตน ก็จำต้องอดกลั้นไว้ เพราะกลัวความคิดจะแตก.
คนมีประมาณเท่าใด รู้ความลับที่ปรึกษากันของบุรุษ คนประมาณเท่านั้นย่อมขู่ให้บุรุษนั้นหวาดกลัวได้ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรขยายความลับ.
ในกลางวันก็ดี กลางคืนก็ดี ควรพูดเปิดเผยความลับในที่สงัด ไม่ควรเปล่งวาจาให้เกินเวลา เพราะคนที่คอยแอบฟัง ก็จะได้ยินข้อความที่ปรึกษากัน เพราะเหตุนั้น ข้อความที่ปรึกษากัน ก็จะถึงความแพร่งพรายทันที.
พญาครุฑได้กล่าวคาถา ๒ คาถาถัดนั้นไป ความว่า
ผู้มีความคิดอันลี้ลับในโลกนี้ ย่อมปรากฏแก่เรา เปรียบเหมือนนครอันล้วนแล้วด้วยเหล็กใหญ่โตไม่มีประตู เจริญด้วยเรือนโรงล้วนแต่เหล็กประกอบด้วยคูอันขุดไว้โดยรอบ ฉะนั้น.
ดูก่อนปัณฑรกนาคราชผู้มีลิ้นชั่ว คนจำพวกใดมีความคิดลี้ลับ ต้องไม่พูดแพร่งพราย มั่นคงในประโยชน์ของตน อมิตรทั้งหลายย่อมเว้นไกลจากคนจำพวกนั้น ดุจคนผู้รักชีวิตเว้นไกลจากหมู่อสรพิษฉะนั้น.
เมื่อพญาครุฑกล่าวธรรมอย่างนี้แล้ว ปัณฑรกนาคราชจึงกล่าวคาถาความว่า
อเจลกชีเปลือย ละเรือนออกบวช มีศีรษะโล้น เที่ยวไปเพราะเหตุแห่งอาหาร เราได้ขยายความลับแก่มันซิหนอ เราจึงเป็นผู้ปราศจากประโยชน์และธรรม.
ดูก่อนพญาครุฑ บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช มีการทำอย่างไร มีศีลอย่างไร ประพฤติพรตอย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้นมีการทำอย่างไร จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์.
พญาครุฑกล่าวตอบเป็นคาถา ความว่า
บุคคลผู้ละสิ่งที่ยึดถือว่าเป็นของเราแล้ว มาประพฤติเป็นนักบวช ต้องประกอบด้วยความละอาย ความอดกลั้น ความฝึกตน ความอดทน ไม่โกรธง่าย ละวาจาส่อเสียด จึงจะชื่อว่าเป็นสมณะ สมณะนั้นมีการกระทำอย่างนี้ จึงจะเข้าถึงแดนสวรรค์.
ปัณฑรกนาคราชได้ฟังธรรมกถาของพญาครุฑนี้แล้ว
เมื่อจะอ้อนวอนขอชีวิต จึงกล่าวคาถาความว่า
ข้าแต่พญาครุฑ ขอท่านจงปรากฏแก่ข้าพเจ้า เหมือนมารดาที่กกกอดลูกอ่อนที่เกิดแต่ตน แผ่ร่างกายทุกส่วนสัดปกป้อง หรือดุจมารดาผู้เอ็นดูบุตรฉะนั้นเถิด.
คาถานั้นมีอธิบายดังนี้ มารดาเห็นบุตรอ่อนที่เกิดแต่ตัว เกิดแล้วในสรีระของตน แล้วให้นอนในอ้อมอกให้ดื่มน้ำนม แผ่เรือนร่างทุกส่วนเพื่อปกป้องบุตรไว้ คือมารดาไม่ไปจากบุตร บุตรก็ไม่ไปจากมารดาฉันใด ท่านจงปรากฏแก่เราเหมือนฉันนั้นเถิด.
ลำดับนั้น พญาครุฑ เมื่อจะให้ชีวิตแก่พญานาค จึงกล่าวคาถานอกนี้ความว่า
ดูก่อนพญานาคราชผู้มีลิ้นชั่ว เอาเถอะ ท่านจงพ้นจากการถูกฆ่าในวันนี้ ก็บุตรมี ๓ จำพวก
คือศิษย์ ๑ บุตรบุญธรรม ๑ บุตรตัว ๑ บุตรอื่นหามีไม่ ท่านยินดีจะเป็นบุตรจำพวกไหนของเรา.
พระบรมศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น ได้ตรัสพระคาถา ๒ คาถาความว่า
พญาครุฑจอมทิชชาติกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็โผลงจับที่แผ่นดิน แล้วปล่อยพญานาคไปด้วยกล่าวว่า วันนี้ท่านรอดพ้นล่วงสรรพภัยแล้ว จงเป็นผู้อันเราคุ้มครองแล้ว ทั้งทางบกทางน้ำ.
หมอผู้ฉลาดเป็นที่พึ่งของคนไข้ได้ฉันใด ห้วงน้ำอันเย็นเป็นที่พึ่งของคนหิวระหายได้ฉันใด สถานที่พักเป็นที่พึ่งของคนเดินทางได้ฉันใด เราก็จะเป็นที่พึ่งของท่าน ฉันนั้น.
พญาครุฑปล่อยนาคราชไปว่าท่านจงไปเถิด. นาคราชนั้นก็เข้าไปสู่นาคพิภพ.
ฝ่ายพญาครุฑกลับไปสู่สุบรรณพิภพแล้วคิดว่า ปัณฑรกนาคราช เราได้ทำการสบถให้เชื่อปล่อยไปแล้ว จะมีดวงใจต่อเราเช่นไรหนอ เราจักทดลองดู แล้วไปยังนาคพิภพได้ทำลมแห่งครุฑ.
พญานาคราชเห็นเช่นนั้นสำคัญว่า พญาครุฑจักมาจับเรา จึงเนรมิตอัตภาพยาวประมาณพันวา กลืนก้อนหินและทรายเข้าไว้ในตัวหนัก นอนแผ่พังพานไว้ยอดขนดจดหางลงเบื้องต่ำ ทำอาการประหนึ่งว่ามุ่งจะขบพญาครุฑ.
พญาครุฑเห็นอาการเช่นนั้น จึงกล่าวคาถานอกนี้ความว่า
แน่ะท่านผู้ชลามพุชชาติ ท่านแยกเขี้ยวจะขบ มองดูดังจะทำกับศัตรูผู้อัณฑชชาติ ภัยของท่านมีมาจากไหนกัน.
พญานาคราชได้ฟังดังนั้น จึงกล่าวคาถา ๓ คาถาความว่า
บุคคลพึงรังเกียจในศัตรูทีเดียว แม้ในมิตรก็ไม่ควรไว้วางใจ ภัยเกิดขึ้นได้จากที่ที่ไม่มีภัย มิตรย่อมตัดโค่นรากได้แท้จริง.
จะพึงไว้วางใจในบุคคล ที่ทำการทะเลาะกันมาแล้วอย่างไรได้เล่า ผู้ใดดำรงอยู่ได้ด้วยการเตรียมตัวเป็นนิตย์ ผู้นั้นย่อมไม่ยินดีกับศัตรูของตน.
บุคคลพึงทำให้เป็นที่ไว้วางใจของคนอื่น แต่ไม่ควรจะวางใจคนอื่นจนเกินไป ตนเองอย่าให้คนอื่นรังเกียจได้ แต่ควรรังเกียจเขา วิญญูชนพึงพากเพียรไปด้วยอาการที่ฝ่ายปรปักษ์จะรู้ไม่ได้.
ครั้นสองสัตว์ (คือพญาครุฑและพญานาคราช) เจรจากันอย่างนี้แล้ว ก็สมัครสโมสรรื่นเริง บันเทิงกัน พากันไปยังอาศรมชีเปลือย.
พระบรมศาสดา เมื่อจะประกาศความนั้น จึงตรัสพระคาถาว่า
สัตว์ทั้งสองมีเพศพรรณดังเทวดา สุขุมาลชาติเช่นเดียวกัน อาจผจญได้ดี มีบุญบารมีได้ทำไว้ เคล้าคลึงกันไปราวกะว่าม้าเทียมรถ พากันเข้าไปหากรัมปิยอเจลก.
ครั้นไปถึงแล้ว พญาครุฑคิดว่า พญานาคนี้คงจักไม่ให้ชีวิตแก่ชีเปลือย เราก็จักไม่ไหว้มันผู้ทุศีล.
พญาครุฑจึงยืนอยู่ข้างนอก ปล่อยให้พญานาคเข้าไปยังสำนักชีเปลือยแต่ผู้เดียว.
พระบรมศาสดาทรงหมายเหตุนั้น จึงตรัสพระคาถานอกนี้ความว่า
ลำดับนั้น ปัณฑรกนาคราชเข้าไปหาชีเปลือยแต่ลำพังตนเท่านั้น แล้วได้กล่าวว่า วันนี้เรารอดพ้นความตาย ล่วงภัยทั้งปวงแล้ว คงไม่เป็นที่รักที่พอใจท่านเสียเลยเป็นแน่.
ลำดับนั้น ชีเปลือยจึงกล่าวคาถานอกนี้ ความว่า
พญาครุฑเป็นที่รักของเรายิ่งกว่าปัณฑรกนาคราชอย่างแท้จริง โดยไม่ต้องสงสัย เรามีความรักใคร่ในพญาครุฑ ทั้งที่รู้ก็ได้กระทำกรรมอันลามก ไม่ใช่ทำเพราะความลุ่มหลงเลย.
พญานาคราชได้ฟังดังนั้นแล้ว ได้กล่าวคาถาสองคาถา ความว่า
ความถือว่า สิ่งนี้เป็นที่รักของเรา หรือสิ่งนี้ไม่เป็นที่รักของเรา ดังนี้ ย่อมไม่มีแก่บรรพชิตผู้พิจารณาเห็นโลกนี้และโลกหน้า ก็ท่านเป็นคนไม่สำรวม แต่ประพฤติลวงโลกด้วยเพศของผู้สำรวมดี.
ท่านไม่เป็นอริยะ แต่ปลอมตัวเป็นอริยะ ไม่ใช่คนสำรวม แต่ทำคล้ายคนสำรวม ท่านเป็นคนชาติเลวทราม ไม่ใช่คนประเสริฐ ได้ประพฤติบาปทุจริตเป็นอันมาก.
ครั้นปัณฑรกนาคราชติเตียนชีเปลือยอย่างนี้แล้ว เมื่อจะสาปแช่งจึงกล่าวคาถานี้ความว่า
แน่ะเจ้าคนเลวทราม เจ้าประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียด ด้วยคำสัตย์นี้ ขอศีรษะของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดเสี่ยง.
คาถานั้นมีอธิบายว่า เฮ้ย! เจ้าคนเลวทราม ด้วยอันกล่าวคำสัตย์นี้ว่า เจ้าเป็นคนมักประทุษร้ายต่อมิตรผู้ไม่ประทุษร้าย ทั้งเป็นคนส่อเสียดด้วย ขอศีรษะของเจ้าจงแตกออกเป็นเจ็ดภาค.
เมื่อพญานาคราชสาปแช่งอยู่อย่างนี้ ศีรษะของชีเปลือย ก็แตกออกเป็นเจ็ดภาค พื้นแผ่นดินตรงที่ชีเปลือยนั่งอยู่นั่นเอง ก็ได้แยกออกเป็นช่อง ชีเปลือยนั้นเข้าสู่แผ่นดิน บังเกิดในอเวจีมหานรก
พญานาคราชและพญาครุฑทั้งสอง ก็ได้ไปยังพิภพของตนๆ ตามเดิม.
พระบรมศาสดา เมื่อจะประกาศความที่ชีเปลือยนั้นถูกแผ่นดินสูบ จึงตรัสพระคาถาสุดท้ายความว่า
เพราะเหตุนั้นแล บุคคลไม่พึงประทุษร้ายต่อมิตร เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทรามที่สุด จะหาคนอื่นที่เลวกว่าเป็นไม่มี ชีเปลือยถูกอสรพิษกำจัดแล้วในแผ่นดิน ทั้งที่ได้ปฏิญญาว่าเรามีสังวร ก็ได้ถูกทำลายลงด้วยคำของพญานาคราช.
พระบรมศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแสดงจบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใช่แต่ในบัดนี้เท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในชาติก่อน พระเทวทัตก็กระทำมุสาวาทจนถูกแผ่นดินสูบ
แล้วทรงประชุมชาดกว่า
ชีเปลือยได้มาเป็น พระเทวทัต
นาคราชได้มาเป็น พระสารีบุตร
ส่วนสุบรรณราชได้มาเป็น เราผู้ตถาคต ฉะนี้แล
เนื้อหาจาก : http://84000.org/ อรรถกถา ปัณฑรกชาดก :ว่าด้วย ไม่ควรบอกความลับแก่คนอื่น
จะเห็นได้ว่า ทุกคำพูดของชาดก เรื่องของธรรมะนั้น ให้ผลได้ไม่จำกัดการ และสิ่งที่เป็นสาระของเรื่องนี้ ก็คือการไว้เนื้อเชื่อใจพลาดผิดคน นึกว่าชีเปลือยเป็นสมณะที่ควรยกย่อง เพราะเห็นว่ามนุษย์ส่วนใหญ่ยกย่องก็ทำตามเขาไป จนกระทั่งได้เปิดเผยบอกความลับสำคัญ อันนำภัยมาสู่ตน
ขึ้นชื่อว่าธรรมะแล้ว อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัยเสมอเลยทีเดียว
ข่าว: ไญยิกา เมืองจำนงค์ (ทีมข่าวปัญญาญาณ ทีนิวส์)