- 24 ก.พ. 2560
ติดตามเรื่องราวดี ๆ อีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th
หลวงปู่คำคนิง จุลมณี
จากประวัติ “หลวงปู่คำคนิง จุลมณี” วัดถ้ำคูหาสวรรค์ อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี ด้วยว่า มีคราวหนึ่ง หลวงปู่คำคนิงกล่าวว่า ท่านประมาทไปไม่สนใจร่างกายของตนที่เจ็บออดๆแอดๆ มาตลอดพรรษา เมื่อท่านเข้าฌานสมาบัติอยู่ในถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขงไปได้สิบกว่าวันแล้ว ไม่ฉันอาหารอะไรเลย ปรากฏว่าสังขารนั้นทนรับไม่ไหว หัวใจหยุดเต้นไปเฉยๆ มีความรู้สึกด้วยสติปัญญาว่า สังขารของเราถึงกาลแตกดับเสียแล้ว แต่ท่านสติยังดี ไม่ตกใจหวั่นกลัวความตายแม้แต่น้อย
จิตวิญญาณของท่าน ! พอวูบวาบออกจากร่างก็ไปรวดเร็วมาก ไม่สนใจไยดีร่างกายเดิมที่หมอบฟุบอยู่บนอาสนะเลย เหมือนคนเราถอดเสื้อผ้าตัวเก่าทิ้งไว้แล้วไปใส่ชุดใหม่ไปเที่ยวนั่นแหละ ! สติของท่านตามจิตวิญญาณไป สตินี้เป็นตัวปัญญาเบื้องสูง เป็นตัวบังคับบัญชาจิต สติของอาตมาตามจิตไป จิตวิญญาณของท่านเดินไปอย่างรวดเร็วมาก ทางที่ไปนั้นเป็นทางสายใหญ่กว้างขวางมาก ความรู้สึกของจิตวิญญาณบอกว่า ทางสายนี้กว้างถึง ๘, ๐๐๐ วา เป็นทางไปสู่ “ศาลาพันห้อง”
ศาลาพันห้อง เป็นศาลาใหญ่โตมโหฬาร เป็นศาลากลางแห่งโลกวิญญาณ มีถนนใหญ่กว้างถึง ๘, ๐๐๐ วา จำนวน ๘ สาย พุ่งตรงไปยังศาลาพันห้องนี้ ท่านเห็นผู้คนทั้งชายและหญิงลูกเล็กเด็กแดง คนหนุ่มสาว และเฒ่าแก่เดินหลั่งไหลตามกันไปแน่นถนน มองสุดลูกหูลูกตา มองเห็นแต่หัวดำบ้าง หัวหงอกบ้าง ทองบ้าง นับไม่ถ้วน คล้ายตัวไหมนับล้านๆตัว ในกระด้งใหญ่ที่เขาเลี้ยงตัวไหมตามหมู่บ้านในชนบท ดูไปอีกทีคล้ายฝูงมดปลวก ผู้คนมากมายเหลือคณานับ มีทั้งแขกจีนไทยฝรั่ง ทุกเชื้อชาติศาสนา.
ทุกคนเดินไปเงียบกริบ ไม่มีใครพูดจากัน ท่านได้พบพ่อแม่ที่ตายไปนานแล้วเดินรวมอยู่ในหมู่วิญญาณ ได้แต่มองดูกัน ไม่อาจพูดทักทายกัน คล้ายต่างฝ่ายต่างกลายเป็นคนใบ้ เมื่อถึงประตูทางเข้าศาลาพันห้องที่รวมคนบาปและคนบุญ มีทหารยามตัวสูงใหญ่ผิวดำถือหอกสามง่ามเป็นประกายแปลบปลาบ ! คล้ายเปลวไฟลุกไหม้ ทหารยามพูดกับหลวงพ่อคำคนิงว่า “สร้างเวรสร้างกรรมพอแล้วหนอ หลวงพ่อถึงได้มาทางนี้”
ว่าแล้ว ! ก็เอาหอกสามง่ามจี้หน้าอกหลวงพ่อไว้เกิดควันฉุยไหม้เสื้อผ้าแต่ไม่รู้สึกเจ็บ ทหารยามหลายคนในที่นั้น ต่างก็ใช้หอกสามง่ามจี้หน้าอกร่างวิญญาณทุกร่าง เข้าใจว่าคงเป็นการประทับตราที่หน้าอก ก่อนให้ผ่านเข้าไปในศาลาพันห้อง ตรงประตูทางเข้าชั้นใน หลวงพ่อได้พบครูบาอาจารย์เก่าๆ
หลายท่านที่มรณภาพไปนานแล้วถูกควบคุมตัวเพื่อมาชำระโทษ ได้แต่มองหน้ากัน ทักทายกันไม่ได้ เพราะพูดไม่ออก ปากเป็นใบ้ จ่ายมบาลนำตัวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ศาลาพันห้อง ร่างวิญญาณเข้าไปแออัดยัดเยียดมองสุดลูกหูลูกตา พญายมบาลนั่งอยู่บนบัลลังก์เป็นประธาน เอื้อมมือไปแตะที่กองสมุดบัญชีเล่มใหญ่เท่านั้น สมุดก็เปิดปั๊ปๆ ขึ้นเองอย่างรวดเร็วพอถึงรายชื่อของใคร? สมุดก็หยุดให้พญายมบาลอ่าน พญายมบาลบอกว่า “มนุษย์พูดอะไรกันอยู่ในโลกมนุษย์ คำพูดทุกคำของมนุษย์แต่ละคนจะมาปรากฏขึ้นในสมุดบัญชีของยมโลกโดยอัตโนมัติ ถ้าใครพูดจากันเรื่องธรรมะ การทำบุญสุนทรทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา ตัวหนังสือจะมาปรากฏเด่นชัดเป็นพิเศษในสมุดของยมโลก”
สระขุมนรก
เมื่อยมบาลเปิดบัญชีดูแล้ว ก็หันมาประกาศกับร่างวิญญาณทั้งหลายว่า “เฮ้ย ! พวกเจ้า ทำไมเนื้อตัวสกปรกแท้เว้ย ! โน่น สระน้ำอยู่โน่น ! พวกเจ้ารีบพากันออกไปอาบน้ำชำระกายให้สะอาดเสียก่อนแล้วจึงค่อยกลับมาพบข้า รีบออกไปเร็วๆ ข้าเหม็นทนไม่ไหวอยู่แล้ว !”
ทุกคนได้ยินเช่นนั้น ต่างก็สำรวจดูร่างตัวเองแล้วได้พบด้วยความตกใจว่า “ร่างวิญญาณของแต่ละคนเปรอะเปื้อนเลอะเทอะเต็มไปด้วยอุจจาระ ส่งกลิ่นเหม็นตลบไปทั่ว ไม่รู้ว่าอุจจาระนี้เปรอะเปื้อนได้อย่างไร?” สระน้ำนั้นกว้างใหญ่ น้ำใสกระจ่างเหมือนกระจก กลางสระมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นแผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม ทุกคนต่างพากันกระโดดลงในสระน้ำ หลวงปู่คำคนิงกระโดดลงไปปรากฏว่าน้ำลึกแค่หัวเข่า น้ำในสระนั้นร้อนลุกเป็นไฟแดงฉานไหม้แข้งขาทันที!
หลวงปู่คำคะนิงตกใจ ! บังเกิดความปวดร้อนอย่างแสนสาหัส ต้องรีบกระโจนขึ้นไปยืนบนฝั่งอย่างรวดเร็ว เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้แล้วไฟไหม้แข้งขาก็ดับไป ความปวดร้อนหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ร่างวิญญาณคนอื่นๆ พากันจมลึกลงไปในสระน้ำ แล้วบังเกิดเป็นเปลวไฟลุกไหม้พรึ่บขึ้น แดงฉานโชติช่วงไปทั้งสระ คล้ายกับว่าน้ำในสระเป็นน้ำมันเบนซินไป ร่างวิญญาณของคนเหล่านั้นไม่ได้ตายไปทันที หากแต่พากันดิ้นรนกระเสือกกระสน ส่งเสียงโอดโอยโหยหวนสยดสยองอยู่ในสระน้ำ เป็นภาพที่สยดสยองเหลือที่จะกล่าว หลวงปู่คำคนิง รู้ได้ในบัดดลว่าที่แท้สระน้ำนี้เป็น “ขุมนรก !” ขุมแรก สำหรับทดสอบบาปบุญคุณโทษของพวกวิญญาณนั่นเอง จ่ายมบาลนายหนึ่งเดินตรงเข้ามานิมนต์หลวงปู่ซึ่งได้เคยสั่งสมบุญไว้ไม่น้อย ให้กลับเข้าไปเฝ้าพญายม
เศษกรรม
หลวงปู่คำคนิงกลับเข้าไปในศาลาพันห้อง ใจคอไม่ดี รู้แน่แก่ใจแล้วว่าที่นี่เป็นด่านเมืองนรก ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้เลย ที่ท่านต้องกระโดดลงไปในสระนรกนั้นเมื่อตะกี้นี้ ทั้งนี้เพราะท่านเชื่อมั่นในตนเองว่า เป็นภิกษุผู้ทรงศีลบริสุทธิ์ เคร่งอยู่ในพระธรรมวินัย ไม่เคยทำบาปให้สรรพสัตว์ใดต้องลำบากเลย แม้แต่มดตัวแดงแมลงตัวน้อย ก็ไม่เคยทำให้มันตาย เพราะทราบว่าทุกสรรพสัตว์ล้วนมีชีวิตจิตใจ แต่อาจจะมีบ้างเมื่อเดินไปเหยียบมดปลวกตายโดยไม่เจตนาเพราะไม่เห็น เมื่อไม่มีเจตนาแล้ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นบาป
เมื่อไปยืนอยู่หน้ายมบาลแล้ว พญายมบาลได้กล่าวด้วยเสียงดุห้าวทรงพลังอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว แต่แฝงไว้ด้วยความนอบน้อมว่า “ตบะธรรมของหลวงพ่อแก่กล้าที่มาเมืองนรกนี้ เพราะเศษกรรมเก่าส่งผลให้ดับจิตจากโลกมนุษย์มายังโลกวิญญาณ แต่เมื่อดูบัญชีแล้วบารมีของหลวงพ่อนั้นยังมากอยู่ ยังไม่อาจพิพากษาตัดสินได้ในขณะนี้ สมควรที่หลวงพ่อจะกลับคืนสู่ร่างเดิมในโลกมนุษย์ไปสร้างบารมีให้เต็มสมบูรณ์เสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมา นิมนต์กลับได้แล้วขอรับพระคุณเจ้า!”
ชมนรกก่อนกลับ
เมื่อออกมาจากศาลาพันห้องแล้ว ก็เกิดความรู้สึกว่าจะกลับถ้ำคูหาสวรรค์บนโลกมนุษย์เลย ก็เป็นการกลับมือเปล่า ! ควรเที่ยวดูชมเมืองนรกให้เป็นกำไรหูตาประดับสติปัญญาเสียหน่อยก็ดี คิดแล้วก็เดินไป พวกจ่ายมบาลทั้งหลายก็เปิดทาง อำนวยความสะดวกให้นิมนต์เลย พระคุณเจ้าอยากชมดูอะไร ? นิมนต์ตามสบาย หลวงปู่เล่าว่า “พวกจ่ายมบาลนี้ก็เหมือนเสมียนทำงานที่ว่าการอำเภอ หรือ ศาลากลางจังหวัด รวมทั้งเป็นผู้คุมนักโทษในเรือนจำด้วย ทำนองนั้นแหละ ! พวกเขามีจำนวนมากทำงานกันว้าวุ่นไม่ได้หยุดหย่อน เดินไปก็เห็นที่คุมขังชั่วคราวเรียงรายสุดสายตา ห้องคุมขังเป็นเหล็กก็รู้ว่าที่นี่เป็นที่คุมขังชั่วคราวรอการตัดสิน ยังไม่ใช่นรกขุมสำคัญๆ”
จินต์จุฑา รายงาน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก : http://thammadeedee.blogspot.com/2011/01/blog-post_928.html