อวบๆขาวๆ เลี้ยงง่าย กินได้ด้วย!! อาชีพแก้จน หนุ่มสงขลาเลี้ยงด้วงสาคู ทำรายได้เสริมเดือนละนับหมื่น ตลาดต้องการสูง

ติดตามเรื่องราวดีๆ ได้ที่ http://www.tnews.co.th

ชาวสะเดา จ.สงขลา เลี้ยงด้วงสาคูในกะละมัง แค่เดือนเดียวขายได้ มีตลาดรองรับ สร้างรายได้เสริมเดือนละนับหมื่นบาท

การเลี้ยงด้วงสาคูเป็นอีกหนึ่งอาชีพเสริมที่น่าสนใจมาก ตลาดต้องการสูงเลี้ยงง่ายโตเร็วและมีราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 250 บาท เช่น นายโยธิน สุขบัวแก้ว อายุ 43 ปี ชาวบ้านใน ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา ซึ่งหันมาเลี้ยงด้วงสาคูขายเป็นอาชีพเสริมมากว่า 1 ปี และเป็นการเลี้ยงในกะละมังขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร

อวบๆขาวๆ เลี้ยงง่าย กินได้ด้วย!! อาชีพแก้จน หนุ่มสงขลาเลี้ยงด้วงสาคู ทำรายได้เสริมเดือนละนับหมื่น ตลาดต้องการสูง

วิธีการเลี้ยงไม่ยุ่งยากนำต้นสาคูบดใส่ลงไป 1 ใน 3 ของกะละมัง ใส่อาหารลูกสุกร 400 กรัม ใส่น้ำคลุกเคล้าให้เข้ากัน วางเปลือกมะพร้าวสดที่สับเป็นชิ้นๆประมาณ 5 ชิ้น กล้วยสุก 1 ผล แล้วปิดฝาทิ้งไว้ 2 วัน จากนั้นก็นำพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ใส่ลงไปกะละมังละ 5 คู่ พอครบ 10 วันก็นำพ่อแม่พันธุ์ออกและยังสามารถนำไปใช้เลี้ยงรุ่นใหม่ต่อไป ซึ่งพ่อแม่พันธุ์แต่ละชุดจะใช้ได้ประมาณ 3-4 รุ่น

 

จากนั้นราว 7 – 10 วันพ่อแม่พันธุ์ก็จะเริ่มวางไข่ และพอครบ 20 วันก็เปิดฝาออกมาเพื่อเพิ่มสาคูบด เพราะลูกด้วงสาคูจะกินและเจริญเติบโตเร็วมาก อายุ 25 – 30 วันก็สามารถคัดขนาดขายได้ โดยหนึ่งกะละมัง จะได้ตัวด้วงราว 180 ตัว หรือประมาณ 800 กรัม ถึง 1 กิโลกรัมต่อ ส่งขายกิโลกรัมละ 250 บาท


อวบๆขาวๆ เลี้ยงง่าย กินได้ด้วย!! อาชีพแก้จน หนุ่มสงขลาเลี้ยงด้วงสาคู ทำรายได้เสริมเดือนละนับหมื่น ตลาดต้องการสูง

 

นายโยธิน บอกว่า ขณะนี้เลี้ยงด้วงสาคูไว้ 100 กะละมัง และคัดด้วงสาคูขายได้ตลอด ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นลูกค้าประจำทั้งที่ อ.สะเดา และอ.หาดใหญ่ รวมทั้งในกลุ่มของชาวมาเลเซียตามแนวชายแดนซึ่งนิยมบริโภคด้วงสาคูเช่นกันและกำลังขยายการเลี้ยงเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับลูกค้าในกลุ่มของร้านอาหารใหญ่ๆ ซึ่งผู้ที่สนใจเลี้ยงด้วงสาคูสามารถสอบถามได้ที่ 080-864 -1164 ซึ่งตนยินดีให้คำปรึกษาฟรี


อวบๆขาวๆ เลี้ยงง่าย กินได้ด้วย!! อาชีพแก้จน หนุ่มสงขลาเลี้ยงด้วงสาคู ทำรายได้เสริมเดือนละนับหมื่น ตลาดต้องการสูง

อวบๆขาวๆ เลี้ยงง่าย กินได้ด้วย!! อาชีพแก้จน หนุ่มสงขลาเลี้ยงด้วงสาคู ทำรายได้เสริมเดือนละนับหมื่น ตลาดต้องการสูง

ที่มาจาก : สำนักข่าว INN