- 20 ก.ย. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ http://www.tnews.co.th/
“ตี๋ใหญ่” ชื่อนี้เรารู้จักกันดี (เหรอเปล่า) เขาคือ อาชญากรที่ยิ่งใหญ่ของไทยที่ไม่มีใครอีกแล้วที่สร้างปรากฏการณ์สุดยิ่งใหญ่อย่างเขา ผู้ซึ่งสร้างความปวดหัวเวียนกล้าให้กับเจ้าหน้าที่มากที่สุด เขาเคยอยู่แฟ้มอาชญากรรมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่หลายคนต้องทุ่มเทแรงกาย แรงใจ ความพรากเพียรพยายาม จนถึงขึ้นเสียสละความสุขส่วนตัว เงินส่วนตัว ในการไล่ลาตัวเขาหลายปี แต่ก็จับตัวไม่ได้ซะที จนกระทั้งกระทรวงมหาดไทยตั้งค่าหัวเขาถึง ๕๐,๐๐๐ บาท (ถือว่ามหาศาลมากในเวลานั้น) และเมื่อเขาตายเขาก็เป็นตำนานของไทยตลอดไป......
จากเด็กหน้าตี๋สู่การเป็นมหาโจร น้อยคนนักจะรู้ว่า ตี๋ใหญ่มีชื่อเดิมว่า “ประเสริฐ ช่างเขียน” เกิดในครอบครัวชาวจีน ที่อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี ปลายปี พ.ศ. ๒๔๙๕ เป็นลูกชายคนโตในจำนวนพี่น้อง ๖ คน ซึ่งทั้ง ๘ ชีวิตอาศัยอยู่ในบ้านเลขที่ ๑๐๓ หมู่ ๓๐ ตำบลดอนไผ่
พ่อแม่ตี๋ใหญ่มีรายได้เลี้ยงลูกๆ จากการทำอาชีพสวนผัก สวนผลไม้โตเร็ว เช่น กล้วย มะละกอ เลี้ยงครอบครัวไปวันๆ หากจะถามว่าเพราะอะไรตี๋ใหญ่ถึงเป็นมหาโจรจอมโหดเลือดเย็น ก็ค่อนข้างยากจะอธิบาย ตามประวัติและคำบอกเล่า พบว่าตี๋ใหญ่ครั้งยังเด็กเป็นเด็กที่ขยัน เชื่อฟังคำสั่งของพ่อแม่ช่วยแม่หารายได้เสริม ยามกลับจากโรงเรียนเสร็จเขามักจะคว้าจอบไปถางหญ้าพลิกหน้าดินเป็นร่องเพื่อปลูกผักหมั่นดูแลรักษาและรดน้ำพรวนดิน ที่น่าสนใจคือประวัติพ่อเขา “เม้งจ๋าย” มีเรื่องเล่ากันว่าในสมัยหนุ่มพ่อของตี๋ใหญ่เคยเป็นอั้งยี่เก่า มีเรื่องฟันๆ แทงๆ นับครั้งไม่ถ้วน ก่อนจะรามือมาเร่ร่อนมาพึ่งแผ่นดินไทยซึ่งสมัยนั้นไทยเปิดรับชาวต่างชาติทำมาหากิน อยู่อย่างอิสระ
ตี๋ใหญ่เป็นคนมีไหวพริบ เฉลียวฉลาด เขามีจุดมุ่งหมายในการดำเนินชีวิต เขาไม่เคยคิดว่าจะเล่าเรียนจบแค่ ป.๔
แต่เขาวาดฝันถึงรั้วมหาวิทยาลัยและเมื่อเรียนจบเขาจะมีปริญญาได้ทำงานดีๆ พ่อแม่คงจะมีความสุขขึ้นส่วนน้องๆ ก็คงจะเรียนหนังสือหมดทุกคน แต่ฝันก็คือฝัน เพราะความจนของครอบครัว ด้วยฐานะยากจนทำให้เมื่ออายุประมาณ ๑๑ ปี ตี๋ใหญ่ต้องลาออกในขณะเรียนชั้นประถมที่ 4 เพื่อมาช่วยพ่อแม่ทำสวนและเปิดโอกาสให้พวกน้องๆ ได้เรียนหนังสือ เก็บพืชผักผลไม้โดยไม่เรียนต่อ
นอกจากนั้นตี๋ใหญ่เป็นลูกคนโตของครอบครัวพ่อแม่จึงหมายปั้นให้เขาสืบสานอาชีพการเกษตร อาชีพหลักของครอบครัว สภาพแวดล้อมแถวบ้านของตี๋ใหญ่ก็แสนสงบสุข อำเภอดำเนินสะดวกขึ้นชื่ออำเภอพออยู่พอเพียงอยู่แล้ว การดำเนินชีวิตที่แสนเรียบง่ายตามประสาชนบทไม่มีแหล่งอบายมุขใดๆ ยิ่งยากจะเชื่อว่านี้คือสภาพที่ตี๋ใหญ่เกิดและกลายเป็นมหาโจรในเวลาต่อมา
และด้วยถิ่นกำเหนิดที่บ้านอยู่ริมคลองสะดวกนี้เอง จึงไม่ใช้เรื่องแปลกนักหรืออาจเป็นเรื่องธรรมดาด้วยซ้ำ ตัวเขาและเพื่อนๆ แถวๆบ้าน จะสามารถว่ายน้ำเก่ง ตั้งแต่อายุ ๒-๓ ขวบ จนแทบเรียกได้ว่า “เดินได้ก็ว่ายน้ำเป็น” โดยวิธีเล่นที่ตี๋ใหญ่โปรดปรานมากที่สุดคือการะตัดก้านบัวเป็นหลอดอมเข้าปากเพื่อหายใจในน้ำ และนี้ก็กลายเป็นวิธีที่ตี๋ใหญ่นำมาใช้ประยุกต์ใช้ในการหลบหนีตำรวจอีกวิธีหนึ่ง
มีเรื่องเล่ากันว่า ตี๋ใหญ่สามารถเล่นซ่อนหากับเพื่อนๆ โดยหลบไปซ่อนอยู่ใต้น้ำนานนับหลายๆ ชั่วโมง แบบว่าขนาดปลายังอาย ก็ว่าได้ ด้านนิสัย ตี๋ใหญ่เป็นเด็กเรียบร้อย ขี้อาย และที่เหลือเชื่อก็คือเขาเป็นเด็กขี้อาย ไม่เคยมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับใคร นอกจากนี้ก็มีนิสัยไม่ชอบคบเพื่อนในวัยเดียวกัน ทำให้มักถูกเพื่อน ๆ วัยเดียวกันกลั้นแกล้งรังแกอยู่เสมอ ๆ
จวบย่างสู่วัยรุ่น อายุ ๑๗ ปีบริบูรณ์ เพราะช่วยพ่อทำไร่ทำสวน จากเด็กกระเปี๊ยก ตี๋ใหญ่แปรเปลี่ยนเป็นหนุ่มร่ายกายสูงใหญ่ทะมัดทะแม่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม แม้หน้าตาเขาไม่หล่อจัดจ้าน แต่เขามีวงหน้าขาวสะอาด ผมยาวปะบ่า แบบอาตี๋ อดทน นอกจากนี้ต่อหน้าสาวๆ เขามักมีคำพูดคำจา วิธีจีบหญิง จนเพศตรงข้ามหลงใหลเขาไม่ยาก และด้วยความเป็นวัยหนุ่ม เขาคงเบื่อบ้านนอก ผสมกับเรื่องราวที่ได้ยินจากคนที่เคยไปกรุงเพทฯ ว่า กรุงเทพนั้นเป็นเมืองแห่งสีสัน ศิริไลซ์ ที่นั้นสนุกสนาน ไม่รู้เบื่อ หากได้เหยียบย้ำสัมผัสเป็นทันต้องลืมบ้านเก่า ตี๋ใหญ่วัยหนุ่มเริ่มสนใจกรุงเทพฯ จนอยากจะคิดออกจากบ้านนอกเข้าเมืองหลวงสักครั้ง
พอดีเวลานั้นเป็นฤดูแตงโม ประกอบกับตี๋ใหญ่ได้ความคิดพัฒนากิจการการเกษตรของครอบครัวเพราะของเดิมมันไม่พอกิน เลยปรึกษากับบิดา เขาบอกว่า เขาจะไปรับจ้างขนแตงโมลงเรือไปส่งที่กรุงเทพ อันเป็นตลาดกลางซึ่งให้ราคาแตงโมดีสามารถช่วยซึ่งจะเพิ่มรายได้แก่ครอบครัวมาก
ตอนแรกความคิดนี้ถูกคัดค้านจากพ่อเพราะเป็นห่วงที่ลูกจะทำกิจการดังกล่าว เพราะแต่เล็กจนโตตี๋ใหญ่ไม่เคยพลัดพลาดออกจากบ้านมาก่อน ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องพยายามใช้เหตุผลข้ออ้างอิงต่างๆ นาๆ จนกระทั้งพ่อแม่ทั้งสองจำใจอนุญาต ใครจะไปรู้ว่า การจากไปของตี๋ใหญ่ครั้งนั้นจะเป็นการเปลี่ยนวิถีชีวิตให้เขาเป็นจอมโจร!!
ตี๋ใหญ่เดินทางล่องมาจากดำเนินสะดวก มาที่ตลาดจำหน่ายผลไม้ฝั่งมหานาคและฝั่งตลาดผดุงเกษม แหล่งส่งผลไม้ใหญ่ในกรุงเทพฯสมัยนั้น โดยนอกจากขนส่งแตงโมแล้ว ตี๋ใหญ่ทำอาชีพเสริม เป็นคนเข็นรถเหล็กติดล้อขนผลไม้หลายชนิดจากในตลาดไปส่งที่รถรับซื้อผลไม้ไปมาอีกด้วย ตี๋ใหญ่มั่นใจว่างานรับจ้างนี้เขาน่าจะทำได้ แม้จะไม่ทำงานเป็นอาชีพเป็นประจำ แต่ก็ได้เงินมากพอดีละ มีเงินมากพอที่จะไปเที่ยว อาจเป็นเพราะความหลงใหล บวกกับความตื่นเต้นในความงามของกรุงเทพที่เขาไม่เคยพานพบมาก่อนในชีวิต
เมื่อเขามาที่นี้แต่ละครั้งแต่ละคืน หลังจากทำงานตอนกลางวัน เขาจะไม่ลืมที่จะไปเที่ยวยามค่ำคืนด้วย ในสมัย ๓๐ กว่าปีก่อนแหล่งบันเทิงของเมืองหลวง ที่ขึ้นชื่อที่สุดตอนนั้นคือ ย่านบางขุนพรหม และย่ามวิสุทธิกษัตริย์ ที่นั้นเต็มไปด้วย ไนท์คลับ ร้านอาหาร และซ่องโสเภณี แน่นอนตีใหญ่ก็ “ขึ้นครู” จนติดใจ และเริ่มเป็นลูกค้าประจำที่ซ่องโสเภณีเกือบทุกคืน ตี๋ใหญ่ใช้วิธีเดินทางจากที่จอดเรือที่คลองมหานาค (ย่านสะพานขาวในปัจจุบัน) ลัดเลาะมาเที่ยวที่ย่านบางขุนพรหมแทบทุกคืน เพื่อนที่ร่วมเที่ยวในสมัยนั้นกับเขาหลายคนให้การ(ภายหลังจากเจ้าหน้าที่ว่า) เวลาที่ตี๋ใหญ่ไปเที่ยวแต่ละครั้ง ก็มักมีเรื่องมีราวกระทบกระทั้งแทบทุกครั้งกับนักเลงเจ้าถิ่นแทบทุกครั้ง หลายคนสู้ หลายคนตะลุมบอน ได้เลือดได้แผลกันทั่วหน้า ส่วนตี๋ใหญ่นั้นในระยะแรก เขาเอาแต่วิ่งหนี เพราะเขาเป็นคนไม่สู้คน
แต่ในที่สุด ชีวิตตี๋ใหญ่ก็มาถึงจุดเปลี่ยน มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาถูกกลุ่มนักเลงเจ้าถิ่นย่านเทเวศร์รุมอัดจนยับเยิน เพราะจนตรอกหนีไม่ทัน จนถึงขั้นหามไปหยอดน้ำข้าวต้มไปหลายอาทิตย์ นี้คือรอยแผลแรกในชีวิต และด้วยแรงแค้นของตี๋ใหญ่ในครั้งนี้
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขากลายเป็นคนละคน หลังจากเลียแผลกายและใจหายแล้ว เขาเริ่มคุมลูกน้องและพ้องเพื่อน ตั้งตนเป็นเป็นนักเลงใหญ่ออกไปลบรอยแค้น จากกลุ่มนักเลงเล็กๆ ของตี๋ใหญ่ เริ่มมีการขยับขยาย จากการปราบนักเลงเจ้าถิ่น เริ่มจากย่านมหานาค มาบางขุนพรหม เทเวศร์ สามเสนฯลฯ ใครที่มีเรื่องกับเขาต้องอัดจนยอมศิโรราบ จนชื่อของตี๋ใหญ่เริ่มเป็นที่รู้จักและเริ่มดังในย่านต่างๆ ดังกล่าวในเวลาต่อมา
ด้านพ่อแม่ตี๋ใหญ่มีหรือจะไม่รู้เรื่อง โดยเฉพาะแม่ถึงกับออกปากปรึกษาผู้เป็นสามี แต่ก็ได้รับคำตอบว่าจะเอาอะไรไปสอนมัน เด็กมันโตแล้ว สอนยาก น่าอย่างน้อยมันก็หาเงินมาให้เรา อย่าไปกังวลอะไรมาก เดี๋ยวมันจะจนแบบเรา
แต่กระนั้นในช่วงนี้ตี๋ใหญ่ยังล่องระหว่าง ดำเนินสะดวกกับกรุงเทพฯ อยู่ตลอดเวลา เวลาตี๋ใหญ่มีเรื่องที่กรุงเทพฯแต่ละครั้งเขาจะมากบดานที่บ้านเกิด จนกระทั้งในที่สุดในงานวัดแห่งหนึ่งที่บ้าน เขาเกิดไปมีเรื่องกับคู่อริชื่อ “แช่ม” อาชีพคุมรถสองแถวที่เหม็นขี้หน้าตี๋ใหญ่มานาน ถึงขั้นดวลมีดหน้าลานวัด จนเป็นเหตุทำให้คู่อริบาดเจ็บสาหัสที่ไหล่ซ้าย จนเรื่องถึงตำรวจ และนี้เป็นคดีอาญาคดีแรกของตี๋ใหญ่ที่เจ้าหน้าที่เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย นั้นเองที่ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องหนี หนี และหนี ตี๋ใหญ่หนีคดีมาอยู่ต่างจังหวัดหลายแห่ง
หนึ่งในนั้นคือวัดหลักหกซึ่งเขาอยู่ใต้อาณัติของ “เสี่ยปิ่น” เจ้าพ่อท่าฉลอมเจ้าของโสเภณีและโรงน้ำชา นั้นเองทำให้ตี๋ใหญ่ได้เข้ามาเรียนรู้ธุรกิจค้ากามโดยไม่รู้ตัว หน้าที่ของตี๋ใหญ่คือเป็นลูกน้องคอยกำราบนักท่องเที่ยวและลูกค่าชั้นเลวทีมีทุกวัน เนื่องจากอาชีพนี้รุนแรง และอันตรายเพราะลูกค้าบางคนก็มีอาวุธ นั้นทำให้ตี๋ใหญ่มีความใฝ่ฝันว่าจะเป็นเจ้าของปืนสักกระบอกเพื่อเอาไว้เป็นเครื่องประจำตัว
สมัยก่อนนั้นประเทศไทยหาซื้ออาวุธปืนไม่ยากถ้ามีทรัพย์ โดยเฉพาะช่วงนั้นสงครามเวียดนาม เขมร ลาว พม่า ยังระอุทำให้ตี๋ใหญ่ได้ปืนมาไม่ยากจากการช่วยเหลือของเพื่อนก็ได้เป็นเจ้าของอาวุธปืน ๑๑ มม. ไว้เป็นเพื่อนตาย และแน่นอนพอนักเลงมีปืนมันก็อยากลองของ ตี๋ใหญ่เริ่มฝึกยิงไม่ว่าเป็นเป้านิ่ง หรือเป้าเคลื่อนไหว ศัตรูคู่อาฆาตของเขาเอง ในไม่ช้าเมื่อตี๋ใหญ่เริ่มเชี่ยวชาญยิงปืนถึงขั้น “แม่นราวจับวาง” เขาเริ่มคิดว่าการเป็นนักเลงคุมซ่องมันไม่พอกิน เลยปรึกษากับเพื่อนเพื่อขอลาเสี่ยปิ่นเพื่อพ้นจากอาณัติไปสู่โลกอิสระที่ท้าทาย แต่ชีวิตอิสระ มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะช่วงนั้นตี๋ใหญ่ขาดเงิน ทำให้ต้องจำใจเป็นลูกวัดที่วัดกาหลงของ “หลวงพ่อสุด” เกจิอาจารย์ชื่อดัง ของจังหวัดสมุทรสาคร เป็นการชั่วคราว
ด้วยความเป็นหนุ่มกระทงพูดจาคมคาย อ่อนน้อมต่อผู้อาวุโส มีความขยัน และชอบศึกษาพุทธาคม สวดมนต์เก่ง ทำให้พระอาจารย์หลวงพ่อสุดชมชอบตี๋ใหญ่มากๆ จนมอบของขลังหลายอย่าง เช่นเหรียญ “เสือหมอบ” “เสือเผ่น” “ยนต์ตระกร้อ” และ “ตะกรุดโทน” ซึ่งแต่ละอย่างล้วนเป็นที่ปรารถนาของพวกนิยมชมชอบศาสตร์เร้นลับแขนงนี้
แต่สันดานก็คือสันดาน วัดไม่ได้ช่วยให้จิตใจเลวๆ ของตี๋ใหญ่พัฒนาขึ้นเลย มือตี๋ใหญ่มีปืนมีของขลัง ตี๋ใหญ่เริ่มตั้งตัวเป็นโจรเพราะมันง่ายดีปล้นทีเดียวก็ได้เงิน เขาเริ่มรวบรวมลูกน้อง โดยส่วนใหญ่เป็นหนุ่มดำเนินสะดวกที่ศรัทธาในตัวเขามาเป็นลูกน้อง ทำให้กลายเป็นแก๊งอิทธิพลย่อยๆ ในดำเนินสะดวกในเวลาต่อมา และแล้ววันประวัติศาสตร์ ของวงการตำรวจก็มาถึง และนี้คือผลงานเปิดตัวของตี๋ใหญ่แบบอหังกา
ปล้น ๑๒ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๖ ตี๋ใหญ่ในขณะนั้นอายุ ๒๑ ปี และพรรคพวกเข้าไปปล้นครั้งแรกในชีวิต เหยื่อรายแรกคือ “นายอดิศักดิ์ พิษณุวัตร” เป็นเศรษฐีย่อยๆ คนหนึ่งในอำเภอดำเนินฯ ตี๋ใหญ่กวาดเงินสด ทองรูปพรรณ และทรัพย์สินมีค่า รวมมูลค่าหลายแสนบาทอย่างง่ายดาย งานแรกถือว่าปล้นครั้งเดียวเท่านั้นไม่ได้ฆ่า หรือทำลายเจ้าทรัพย์แต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ประจำ สภอ. ดำเนินสะดวกในสมัยนั้น ใช้เวลาสืบสวนไม่นานก็รู้แล้วว่าเป็นฝีมือของแก๊งค์ตี๋ใหญ่ แต่มันสายเกินไปสำหรับตำรวจ เพราะตี๋ใหญ่ผู้เป็นหัวหน้านั้น รู้ตัวทัน เลยกบดานอย่างเงียบเชียบโดยไร้ร่องรอยเรียบร้อย
เมื่อมีครั้งแรก ก็ต้องมีครั้งต่อๆ มาแบบช่วยไม่ได้ คราวนี้ตี๋ใหญ่หวังจะพัฒนาปล้นแบบก้าวกระโดด เป้าหมายคือร้านแอนนี่ จิวเวอรี่ ร้านนี้ไม่ธรรมดา เพราะมันตั้งในโรงแรมเอเชีย.....แน่นอนคนเข้าออกเพียบ และวงจรรักษาปลอดภัยเป็นร้อย..... ไม่รู้เพราะอะไรตี๋ใหญ่ถึงเลือกปล้นที่นี้ แต่ตี๋ใหญ่วางแผนอย่างดี เมื่อเวลามาถึงตอนสายปลายปี ๒๕๑๗ ตี๋ใหญ่นำลูกสมุน ๕ คน พร้อม “นางบุญปัน แก้วจันทร์ดี” แต่งกายภูมิฐานทำทีไปชมอัญมณีภายในร้าน พอดีโอกาสทั้ง ๖ สาวหนุ่มก็ปราดเข้าใช้อาวุธกวาดเงินสดกับเครื่องประดับราคาสูงลงกระเป๋าเอกสารเท่าทีตี๋ใหญ่กำหนดไว้ให้เพียง 5 นาที เมื่อถึงเวลาตี๋ใหญ่ออกคำสั่งให้ถอย ลูกสมุนทั้งหมดรีบหนีไปยังรถเก๋งเช่าตามแผน แต่ระหว่างทางเกิดถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่มาขัดขวางทำให้เกิดการดวลปืนยิงสนั่นโรงแรม หนึ่งในกลุ่มโจรได้สาดกระสุนปืนสังหารเจ้าหน้าที่ตาย ๑ นาย และสามารถหลบหนีได้
๑๕ มิถุนายน ๒๕๑๙ ตี๋ใหญ่ประกาศการกลับมาของเขาอีกครั้ง ด้วยการบุกเข้าปล้นบ้านพิชัย โซติวงศ์ ที่อำเภอดำเนินสะดวก กวาดทรัพย์สินมูลค่ากว่า ๒๐๐,๐๐๐ บาท
๑๕ กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๙ บุกเข้าปล้น กทม. เหยื่อผู้เคราะห์ร้ายคือ นางโฉม หมัดปัญญา กวาดทรัพย์สินเงินสด และทองรูปพรรณไปกว่า ๓๐๐,๐๐๐ บาท
ย่างเข้าต้นปี ๑๔ มกราคม ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่ปล้นรถทัวร์ ของพื้นที่ สภ.อ.คลองหลวง และใช้ด้ามปืนตีศีรษะเจ้าทุกข์รายหนึ่งจนเลือดอาบหน้า และจัดการปลดทรัพย์สินผู้โดยสารทั้งหมดอย่างอุกอาจกว่าครึ่งร้อยและหนีไปอย่างลอยนวล
แต่เงินที่ได้จากการปล้นแต่ละครั้งตี๋ใหญ่มักใช้หมดเพียงไม่กี่วัน นอกจากการนำเงินไปช่วยเหลือครอบครัวแล้ว ตี๋ใหญ่มักใช้เงินหมดไปกับสองสิ่งคือ “ผู้หญิง” และ “การพนัน” โดยเฉพาะ ไฮโล ตี๋ใหญ่ชอบมันเป็นพิเศษ เข้าบ่อนแต่ละครั้งหมดเงินเป็นหมื่น (ในขณะนั้นราคาทองคำมีราคาแค่พันบาทเท่านั้น) ทำให้ตี๋ใหญ่ใช้เงินหมดไปอย่างรวดเร็วปานหว่านหรือพิมพ์เองได้ ทำให้ตี๋ใหญ่ต้องออกไปปล้นแล้วปล้นอีก เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ
๕ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่และลูกน้อง ๖ คน บุกไปปล้นร้านทองวิชชุภัณฑ์ กทม.กวาดทองรูปพรรณไปเป็นมูลค่า ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท
๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่ร่วมกับพรรคพวก บุกปล้นธนาคารกรุงเทพ สาขาสมุทรสาคร ใช้อาวุธปืนจี้ผู้จัดการกับพนักงานขึ้นไปรวมที่ชั้นสอง จากนั้นกลุ่มโจรก็กวาดเงินจากเซฟนับล้านใส่ถุง และยิงปืนใส่นายทินกร พงษ์พานิช ยามธนาคารที่ตัดสินใจกระโดนชั้นสองแจ้งความตำรวจหนึ่งนัด กลุ่มดาวโจรรีบผงะจากเซฟหอบเงินออกจากธนาคารไปขึ้นสามล้อเครื่องบิดหนีไปทางวัดศรีเมือง แล้วสละรถไปลงเรือหนีไปทางแม่น้ำท่าจีนมุ่งสู่ อ.กระทุ่มแบน ท่ามกลางตำรวจนับร้อยที่มากับเรือหางยาวกวดตามติดๆ และดวลปืนสนั่นที่ท่าน้ำท่าจีนราวกับหนังไทยไม่มีผิด การปะทะกันครั้งนี้ส่งผลให้ จ.ส.ต.อนันต์ เกตุนุ่ม และ พล.บุญลือ ประจักษุ ถูกยิงตายคาที ส่วนสมุนตี๋ใหญ่สมุนตี๋ใหญ่ก็ถูกยิงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทราบชื่อภายหลังคือ ดนัย หรือ เหล็ง แซ่เอี๊ยะ และอีกคน นายสำอาง สารภีสามล้อ ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับและสารภาพหมดเปลือก
นอกจากนั้นยังรวมทั้งอีกหลายคดีปล้นฆ่า ที่เกิดขึ้นหลายจังหวัด บางครั้งเจ้าทุกข์ก็ถูกทำลายสาหัสปานตาย เนื่องจากต่อสู้ขัดขวาง สื่อมวลชนต่างลงข่าวการปล้นของตี๋ใหญ่อย่างต่อเนื่อง จนตี๋ใหญ่กลายเป็นจอมโจรดังทั่วฟ้าเมืองไทย
แน่นอนมีเหรอว่ากรมตำรวจจะอยู่เฉย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยมี พล.ต.อ.ณรงค์ มหานนท์ เป็นอธิบดีกรมตำรวจ นายกฯถึงกับประกาศก้องว่า จะให้ค่าหัว ตี๋ใหญ่เป็นมากถึง ๕๐,๐๐๐ บาท กับใครก็ได้ ไม่ว่าจะจับเป็นหรือจับตาย ซึ่งนั้นทำให้ตี๋ใหญ่กลายเป็นโจรที่มีค่าหัวสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา(จำนวนเงินถือว่ามากในขณะนั้น)
ตี๋ใหญ่ก็ยังเป็นตี๋ใหญ่ เขาฉลาด ขี้ระแวง เวลานัดใครเขามักมาก่อน มาช้า หรือไม่มาเลย และไม่เคยไว้วางใจลูกน้องคนสนิทคนไหน ตี๋ใหญ่มีเมียอยู่อย่างน้อย ๔-๕ คนในช่วงเวลานั้น แต่ไม่มีใครเลยที่รู้ที่อยู่ของเขาอย่างแน่นอน เขาไม่เคยบอกใคร และไม่เคยนอนซ้ำกันแม้แต่คืนเดียว ด้วยเหตุนี้นี่เอง ที่ทำให้จอมโจรหน้าหยกคนนี้ ยังลอยนวลอยู่ได้เหิมเกริม และทุกครั้งเขาก็รอบคอบมากๆ ถึงขนาดว่า ถ้ากินเหล้าหรือเบียร์ ต้องเปิดฝาต่อหน้า เท่านั้นถึงจะยอมกิน รวมทั้งข้าวปลาอาหารต้องตรวจตราละเอียดและมักให้คนอื่นกินก่อนเสมอๆ เพราะเขากลัวถูกวางยา อาวุธคู่กายปืนขนาด ๑๑ มม. ก็ต้องอยู่ติดตัวตลอดเวลาไม่เคยห่างจากตัว แม้แต่เวลาอาบน้ำ จากปล้น กลายเป็นนักฆ่าหน้าหยก เมื่อเสร็จสิ้นการปล้นแต่ละครั้ง หลังจากแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาให้ลูกน้องแล้ว ทุกคนจะแยกย้ายกันไปกบดาน เมื่อเงินหมดตี๋ใหญ่ก็ไปตามหาลูกน้องด้วยตนเอง เพื่อร่วมการปล้นหาเงินครั้งใหม่ต่อไป
แน่นอน เงินของเขาส่วนใหญ่ก็หมดไปกับ ผู้หญิง ไฮโล อย่างไม่อั้น ต่อมา ตี๋ใหญ่ ได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากการปล้น มาเป็นนักฆ่า ความจริง งานรับจ้างฆ่า หรือมือปืน เป็นงานที่ตี๋ใหญ่ไม่อยากทำนัก แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไป เพราะตอนนี้ตำรวจตามล่าเขาแทบพลิกแผ่นดิน อีกทั้งเงินหมด และไม่มีงานไหนอีกแล้วที่ง่ายกว่านี้ เสี่ยงน้อยกว่าแต่ได้เงินเยอะ ซึ่งว่ากันว่าช่วงเวลานี้มีผู้เสียชีวิตหลายราย ถูกมือปืนนิรนามยิงตาย
ซึ่งการสืบสวนตำรวจทำให้ทราบว่าตี๋ใหญ่เริ่มพัฒนาตนเองจากโจรไปเป็นมือปืนซะแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดไล่ล่าตี๋ใหญ่ในตอนนั้น ประกอบไปด้วยตำรวจชั้นอ๋อง หัวกะทิ เช่น พล.ต.ท.สมเกียรติ พ่วงทรัพย์ (ยศในปัจจุบัน – อดีตผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล) ,พ.ต.อ.ถวิล เปล่งพานิช, ร.ต.อ.บรรดล ตัณฑไพบูลย์(ยศและตำแหน่งในขณะนั้น) ต่างไล่ล่าตี๋ใหญ่อย่างเมามัน เจ้าหน้าที่ใช้วิธีการหลายวิธีในการหาทางจับกุมตี๋ใหญ่หลายแบบ โดยวางแผนจับกุมทำลายลูกสมุนในแก๊งค์ของตี๋ใหญ่ ทีละคนสองคน และทำตำรวจปลอมตัวไปเข้าแก๊งตี๋ใหญ่ใกล้ชิด โดยลูกน้องตี๋ใหญ่จับได้เด่นๆ ก็มี
๑๑ กันยายน ๒๕๒๐ เจ้าหน้าที่ตำรวจทำ การจับตายเสือจุ่ม(ประจวบ คล้ายมณี) ที่ห้องแถวไม้ ๒ ชั้น เลขที่ ๖๓ เขตดุสิต
ต่อมา นายหมู แซ่เตียว น้องชายตี๋ใหญ่ผู้เดินตามรอยพี่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงหลายนัดและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา
๒๔ กันยายน นายประชา ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจล้อมจับในขณะครองผ้าเป็นภิกษุฉันภัตตาหารอยู่ นั้นทำให้สมุนของตี๋ใหญ่เริ่มลดน้อยลง ทำให้ตอนนี้บัญชีสมุนตี๋ใหญ่ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องการตัวเหลือเพียง นายอนันต์(ลูกกรอก ทองเลิศ), นายจรูญ(แป๊ะ ตระกูลดี), นายอเนก(ตุ้ย ศิริวงศ์) และหัวหน้าใหญ่ตี๋ใหญ่เท่านั้นที่ยังคงรอดจากเงื่อมมือกฎหมายอยู่ในขณะนี้
แต่แม้สมุนตี๋ใหญ่จะลดน้อยถอยลง แต่ทุกอย่างที่ทุ่มเทไป ก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า ในการเข้าใกล้ชิดกับมหาโจรผู้นี้มากนัก เพราะส่วนมากวิธีการทั้งหมดล้วนคว้ำน้ำเหลว แทบทั้งสิ้น สวนทางกับคดีที่เขาก่อยิ่งมากขึ้น มากขึ้น ตามระยะเวลาที่เพิ่มขึ้น
๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๒ เกือบเป็นวันอวสานของตี๋ใหญ่ เมื่อกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสืบทราบว่าเขากบดานอยู่ที่บ้านพักภารโรง ของโรงเรียนวัดเขมาฯ ในอำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นเพื่อนของเขา กำลังของเจ้าหน้าที่กว่า ๕๐ นายเข้าล้อมไว้ตั้งแต่ตอนหัวค่ำจนเพิ่มขึ้นเป็นร้อยในเวลาใกล้สว่าง ที่ถึงเวลาลงมือเข้าจับกุม ในสมัยนั้น รอบๆ โรงเรียน ยังเป็นสวนผลไม้รายล้อม เมื่อตี๋ใหญ่และลูกสมุนสองคนรู้ตัวว่าตำรวจกำลังล้อมเขา แต่ก็ไม่มอบตัว และยังคงเตรียมตัวอยู่ในบ้านเตรียมหลบหนี
ขั้นแรกตำรวจส่งเสียงประกาศให้ตี๋ใหญ่มอบตัวแต่โดยตีไม่งั้นเราจะจับตาย แต่จนถึงฟ้าสว่างจอมโจรและสมุนก็ยังเงียบ ทำให้ตำรวจต้องเปลี่ยนแผนหันมาใช้นายยุทธนา แซ่ตั้ง สมุนโจรที่ตำรวจจับได้ก่อนหน้าไปเกลี้ยมกล่อมตี๋ใหญ่แทน นายยุทธนาที่ถูกตำรวจใช้สายยางผูกตัวไปเจรจาตี๋ใหญ่ เดินเข้าไปเจรจากับลูกพี่นานแสนนานแต่ไม่ได้ผล ตี๋ใหญ่ยอมสู้มากกว่าโดนจับ เขาตะเพิดยุทธนา ขืนกล่อมอีกจะโดนยิงทิ้งซะ ทูตโจรจำยอมถอยเพื่อรักษาชีวิตยามหน้าสิ่วหน้าขวาน
ขณะเดียวกันตำรวจเริ่มรอเปิดศึก เพราะการล้อมจับกุมนั้น ชาวบ้านแถวนี้ไม่รู้เรื่อง ทำให้เด็กๆ นักเรียนหลายคนเริ่มทยอยกันมาในโรงเรียน ตำรวจเกรงว่าท่าไม่จัดการเรื่องนี้ให้เสร็จ มีหวังมีผู้เคราะห์ร้ายโดนลูกหลงหลายราย
จากนั้นตี๋ใหญ่เริ่มเห็นโอกาส พวกโจรใช้จังหวะนั้นเสี่ยงตายผ่าวงล้อมของตำรวจหนีไปได้ อย่างไม่น่าเชื่อ ในขณะที่ตำรวจหลายนายเสียชีวิตและบาดเจ็บหลายคน ตี๋ใหญ่เลือกวิ่งหนีไปทางถนนใหญ่ ซึ่งตอนนั้นชาวบ้านกำลังคับคั้งเต็มสองฝั่งถนน ซึ่งทำให้ตำรวจไม่ยิงต่อสู้เพราะอาจถูกชาวบ้านได้ จากนั้น จอมโจรก็วิ่งซิกแซกหลบกระสุนปืนที่ซัลโวใส่ราวห่าฝนหนีไปป่าละเมาะเบื้องหน้า ระหว่างชุลมุน ในขณะที่เจ้าหน้าที่สนใจตี๋ใหญ่ สองสมุนแว่บไปซ่อนหลังบ้าน แต่ก็ไม่พ้นสายตาตำรวจ สองโจรถูกตำรวจรวบตัวไว้ได้
แต่อนิจจา ตี๋ใหญ่หายตัวไปแล้ว เหตุการณ์ในครั้งนี้ยิ่งทำให้ชื่อของตี๋ใหญ่โด่งดังไปอีก จนมีเสียงเล่าลื่อกันว่าตี๋ใหญ่มีอาคม เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถากำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของเจ้าหน้าที่ไปอย่างหน้าตาเฉย ซึ่งความจริงแล้วเหตุการณ์ครั้งนี้ตี๋ใหญ่แทบเอาชีวิตไม่รอดเพราะเขาต้องซ่อนตัวในใต้น้ำหลายชั่วโมง โดยอาศัยความรู้สมัยเด็กดำเนินสะดวกใช้ก้านมะละกอเป็นท่อหายใจ นอนซ่อนอยู่ใต้น้ำ
ย้อนกลับมาที่ภายหลังคดีปล้นรถทัวร์ ๑๔ มกราคม ๒๕๒๐ ต่อมาตำรวจสามารถจับตัวคนร้ายได้ ๓ คน ได้แก่ สมพร ศิริวรรณวงษ์ จรูญ ตระกูลดี อนันต์ ทองเลิศ ยิ่งกว่านั้น ฝ่ายสืบสวนยังสอบปากคำขยายผลถึงขั้นจับกุมอีก ๓ คน จากคดีร้านปล้นแอนนี่จิวเวลรี่ ได้แก่ ณรงค์ คล้ายมณี สมนึก พึงรำพรรณ นางสาวบุญปัน แก้วจันทร์ดี ทั้ง ๖ คนไม่ให้การซัดทอดถึงตี๋ใหญ่ และถูกย้ายไปหลาย สน. เนื่องจากมีประวัติฆ่าคนตายหลายท้องที่
จนกระทั้งวันจันทร์ที่ ๒๑ ก.พ. เวลา ตี ๓ ผู้ต้องหาทั้ง ๖ คนก็แหกห้องขังที่ สน.บางซื่อด้วยวิธีคลาสสิก โดยการใช้ใบเลื่อย (คาดว่ามีพรรคพวกแอบส่งมาให้) ตัดลูกกรงเหล็กช่องทางลมจนขาดและใช้ผ้าขาวม้าผูกต่อกันโหนตัวปีนออกจากช่องทางลมแล้วแหกรั้วสังกะสีทะลุออกไปข้างนอก ทั้งหมดหนีไปอย่างลอยนวล
กลับมาที่ทางด้านตี๋ใหญ่ เหยื่อรายต่อๆ มาของตี๋ใหญ่ล้วนแต่เป็นคนรวยทั้งสิ้น เริ่มจากพาพรรคพวกก่อคดีลักพาตัวเรียกค่าไถ่ นายแพทย์ชัยศรี คชสุด ถึงที่ทำงานคลินิกโพธาราม ที่ อ.โพธาราม โดยให้ญาตินำเงินสดถึง ๖ ล้านบาทมาไถ่ตัว แต่ภายหลังตำรวจตำรวจสามารถบุกเข้าไปใช้ตัวประกันไว้ได้ จากนั้นก็ปล้นผู้มีอันกินหลายราย ไล่จาก นายพิชิต โซติวงศ์,นายมนู ธงชัย
นอกจากนี้ยังมีเจ้าทุกข์อีกหลายรายแต่ก็ไม่กล้าแจ้งความ เพราะหวาดกลัวตี๋ใหญ่ เมื่อปล้นดำเนินฯ เสร็จ ตี๋ใหญ่มักหนีเข้ามากบดานกรุงเทพฯ เพราะที่นี้มีแต่คนรู้จัก มักคุ้น และมีญาติห่างๆ ช่วยเหลืออยู่หลายคน ช่วงนั้นชื่อของตี๋ใหญ่ดังกระฉ่อน ในฐานะนักปล้น และการกระทำอย่างอุกอาจเย้นกฎหมายบ้านเมือง หนังสือพิมพ์ ประโครมข่าวอย่างเมามัน ถึงพฤติกรรมปล้นของเขา แน่นอนบางคดีตี๋ใหญ่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ใครละจะสนใจ ขอให้มีข่าวปล้นไม่ว่าใหญ่หรือเล็กเถอะต้องมีชื่อตี๋ใหญ่ใส่เข้าไปด้วยทุกครั้ง และเริ่ม ลงข่าวแล้วว่า ตี๋ใหญ่ฆ่าคนในขณะปล้นไปด้วย แม้ไม่มีหลักฐานว่าตี๋ใหญ่ทำ แต่มันก็ช่วยสิ่งเสริมให้ชื่อของเขาเป็นที่หวาดผวาให้กับประชาชนหวาดผวาไปทั่วประเทศ’ สันนิษฐานกันว่า ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ตี๋ใหญ่มักเลือกปล้นฆ่าไปทั่วแถบบริเวณ จ.ราชบุรีและหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคกลาง และบางส่วนของพื้นที่กรุงเทพมหานคร และไม่เคยคิดปล้นออกนอกพื้นที่แต่อย่างใด
โดยเอกลักษณ์ที่สำคัญและน่าจดจำของตี๋ใหญ่ คือ เขาจะสวมเสื้อลายสก็อต กางเกงยีนต์ลีวายส์ รองเท้าผ้าใบสีขาว สวมแว่นตาเรย์แบนด์ ผูกนาฬิกาโรเล็กซ์ และสูบบุหรี่กรองทิพย์ ในขณะปล้น แว่นตาดำเรย์แบนด์ เขาใส่เพื่ออำพรางใบหน้า และปกปิดไฝเม็ดใหญ่ระหว่างคิ้วทั้งสองข้าง ส่วนนาฬิกานั้นเขาใส่เพื่อปิดรอยแผลที่ครั้งหนึ่งเคยโดนกระสุนปืนยิงถากไปเมื่อตอนปล้นเชียงใหม่ ๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗ และชอบส่งเสียงขู่เวลาปล้นด้วยน้ำเสียงที่น่าหวาดกลัวทำให้เจ้าทุกข์ไม่กล้าคิดต่อสู้ป้องกันตัว
แต่ก็เสียงเล่าลือกันอีกว่า ในบางครั้งตี๋ใหญ่ก็ปล้นแต่เฉพาะคนรวย และใครเคยช่วยเหลือก็ไม่เคยลืมบุญคุณและจะนำทรัพย์สินที่ปล้นได้มาแบ่งให้ โดยวางทิ้งไว้ที่หน้าบ้าน นอกจากนี้แล้ว ตี๋ใหญ่ ยังเป็นโจรเจ้าชู้ กล่าวกันว่ามีภรรยาหลายคน เพราะเป็นชายหนุ่มหน้าตาพอใช้ได้และปากหวานคนหนึ่ง โดยตี๋ใหญ่มักโกหกชื่อตนว่าชื่อ แจ็ค บ้าง ไพโรจน์ บ้าง เป็นต้น โดยที่ภรรยาเหล่านี้ซึ่งส่วนมากมักเป็นโสเภณี บางคนแทบไม่ทราบเสียด้วยซ้ำว่า สามีของตนนั้นเป็นโจร
๕ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๗ ตี๋ใหญ่วางแผนใหญ่ครั้งแรก ด้วยการบุกเข้าไปปล้นร้านทองชื่อดัง แสงเจริญ ที่ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวกันว่า เขากวาดทองคำรูปพรรณไปได้ มีมูลค่ากว่า หนึ่งล้านบาท และนี้คือการปล้นข้ามถิ่นครั้งแรกของเขา
๑๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๑๗ ตี๋ใหญ่และพรรคพวกบุกเข้าปล้นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ของนายฮุยกวง แซ่โค้ง ปากซอยนพมาศ ถนนจริญสนิทวงศ์ ท้องที่สน.ภาษีเจริญ ได้เงินและของมีค่าไปจำนวนไม่น้อยอีกเช่นกัน ตี๋ใหญ่กบดานเงียบ แน่นอนในช่วงเวลานั้น เขาเป็นอาญชากรที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ในท้องที่หลายจังหวัดต้องการตัวอย่างยิ่ง แหล่งกบดานของเขา กล่าวว่า เป็นอพารต์เม้นท์แห่งหนึ่ง แถวอนุสาวรีย์ ชัยสมรภูมิ... เช้าขึ้นเขาจะแต่งตัวผูกเน็คไท ถือกือกระเป๋าเจมส์บอนด์ ใส่แว่นเรย์แบนด์ออกจากที่พักทุกเช้า เย็นค่ำจะกลับมาตามปกติ เสมือนคนทำงานทั่วไป ตี๋ใหญ่เป็นจอมโจรที่ฉลาดผิดสามัญโจรทั่วไป ไม่มีลูกน้องคนไหนล่วงรู้เลยว่า เขากบดาน หรือมีที่นอนที่ไหน ตี๋ใหญ่ มักจะอยู่ไม่เป็นที่ ต้องคอยหลบหนีตลอด เวลาจะไปพบลูกน้องก็จะไปพบเองว่า และเขาคนเดียวเท่านั้นที่จะตัดสินใจไปปล้นที่ไหน เขาจะเป็นคนไปดูลาดเลา วางแผน กะเวลา ด้วยตนเองตามลำพังคนเดียว นัดกับลูกน้อง จะไม่กำหนดเวลาที่แน่นอน ไปช้าบ้าง ไปเร็วบ้าง หรือไม่ไปเลย รวมทั้งหากจะไปปล้นที่ไหน ตี๋ใหญ่จะบอกและระดมสมัครพรรคพวก ก่อนหน้าในเวลาล่วงหน้าไม่กี่ชั่วโมง จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เขาหนีรอดจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ มาได้เป็นเวลาหลายปี เพราะตี๋ใหญ่ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้น นอกจากตนเอง
ขนาดเวลานอน เขายังใช้วิธี จุดธูปแล้วมัดด้วยหนังสติ๊กผูกติดไว้ระหว่างหัวแม่เท้ากับนิ้วชี้ เวลาที่ธูปไหม้จนเกือบหมดดอก เขาจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาสำรวจตรวจตรารอบๆ ที่พัก หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติ เขาจะนอนหลับต่อและใช้วิธีแบบเดียวกันนั้นตลอดคืน แม้จะระวังตัวรอบครอบแค่ไหนก็ตาม แต่แล้วในที่สุด ตี๋ใหญ่ก็ถูกจับ มันเป็นการถูกจับ ครั้งแรก และครั้งเดียวในชีวิตของนักฆ่ามหากาฬคนนี้
ครั้งแรกและครั้งสุดท้ายจับเป็น ตี๋ใหญ่อหังการคะนองศึก กันยายน พ.ศ. ๒๕๑๘ เหมือนฟ้าจะบันดาลดล ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสืบเสาะแกะรอยตี๋ใหญ่ ตามหมายจับหลายใบในหลายทองที่ อยู่เอาเป็นเอาตายอยู่นั้น สายสืบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเขต สน.ภาษีเจริญก็โทรบอกมาว่า พบตี๋ใหญ่กับสมุนกำลังซ่อมสุมกำลังกันอยู่ในบ้านเช่าหลังหนึ่งในสวนแถวบางพลัด ถนนเจริญสนิทวงศ์ เท่านั้นเอง กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็กรูกันเข้าไปล้อมจับ และมันง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ ตี๋ใหญ่ยอมให้เจ้าหน้าที่จับกุม จับเป็นครั้งแรกในชีวิต มันง่ายดายเสียงยิ่งกว่าอะไร เหมือนกับว่านี้ไม่ใช้ตี๋ใหญ๋ตัวจริง ที่ก่อคดีปล้นฆ่าสะท้านเมืองมานับไม่ถ้วน หนังสือพิมพ์พากันเสนอข่าวนี้อย่างเกรียวกราว เพราะตลอดในช่วง ๓ ปี ที่ผ่านมา กว่า ๑๐ คดีที่ตี๋ใหญ่ก่อขึ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนาย หลาย สน.ไม่สามารถแกะรอย หรือดมกลิ่นไปถึงตัวเขาได้เลย แต่แล้วจู่ๆ ตี๋ใหญ่ตัวจริงก็ถูกใส่กุญแจมือจนได้ จนมันง่ายดายเหลือเชื่อ
การถูกจับกุมครั้งนี้ มีการขยายผลออกไปมากมาย และแน่นอน ตี๋ใหญ่ถูกถ่ายภาพ ทำประวัติ และพิมพ์ลายนิ้วมือเป็นครั้งแรก หลายคดีที่เขาก่อขึ้นในหลายจังหวัดถูกผนวกรวมกันเข้ามา ด้วยความร่วมมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยคิดคร่าวๆ แล้ว ความผิดของตี๋ใหญ่นั้นถึงขั้นประหารชีวิตแน่นอนไม่ก็จำคุกตลอดชั่วชีวิต จากห้องขังที่ สน.ภาษีเจริญ ตี๋ใหญ่ถูกฝากขังต่อที่เรือนจำลาดยาว อยู่อีกหลายวัน ประสบการณ์ครั้งแรกในคุกลาดยาวนี่เอง มันฝังใจตี๋ใหญ่สุดยากแค้น มันทำให้แค้นและการกระทำที่ได้รับจากคนคุกด้วยกัน ตี๋ใหญ่สุดแค้นใจและประกาศต่อพรรคพวกของเขาต่อมาว่า เขาจะไม่ยอมถูกจับอีกต่อไป
และวันที่ตี๋ใหญ่ประกาศก็มาถึง ๑๑ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๑๘ ตี๋ใหญ่ต้องออกเดินทางจากกรุงเทพฯ พร้อมนายเอก สมุนคู่ใจ ไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ตามคำสั่งของศาลเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจขออายัดตัวมาในคดีที่เขาบุกเข้าไปปล้นร้านทองแสงเจริญเชียงใหม่ การเดินทางครั้งนี้ใช้รถไฟเป็นพาหนะ มีพลตำรวจทวนและตำรวจเสงี่ยมควบคุมตัวไปบนโบกี้รถไฟชั้น ๓ ตี๋ใหญ่กับสมุนถูกตีตรวน ใส่กุญแจมืออย่างแน่นหนาเพื่อป้องปกกันการหลบหนีอย่างเต็มที่
๑๘.๓๐ น. รถไฟสายกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ เคลื่อนตัวออกจากสถานีรถไฟสามเสนโดยมีสองเจ้าหน้าที่ตำรวจ และสองเสือร้ายนั่งประจันหน้ากันไปตลอดทาง เสือร้ายอยู่ในสภาพลูกแมวเชื่องๆ เวทนา แต่ในใจเขานั้นคิดอะไรอยู่ ยากที่ใครจะรู้ โอกาสหาหนทางหนี ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน ทั้งคู่ถูกใส่กุญแจมือ และโซ่ตรวน ร้อยข้อเท้าด้วยโซ่ขนาดใหญ่สุด
เวลา ๐๒.๐๐ น. ฝนตกกระหน่ำหนักหนา ระหว่างที่ขบวนรถไฟ เคลื่อนที่ออกจากสถานีตะพานหิน ในเขตจังหวัดพิจิตร มุ่งไปยังสถานีดงตะขบ ผู้โดยสารส่วนใหญ่หลับสนิทกันหมดแล้ว จู่ๆ ตี๋ใหญ่กับสมุนที่ซึ่งล่ามกุญแจขออนุญาตเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ พลตำรวจทวนเดินตามนักโทษทั้งสองไปเฝ้าอยู่หน้าประตูห้องน้ำที่เปิดแง่มไว้ ไม่มีลางร้าย ไม่มีสิ่งบอกเหตุ หลังสองเสือร้ายเข้าห้องน้ำไปเพียง ๓๐ วินาที เสียงกระจกหน้าต่างก็แตกดังเพล้ง!! ดังสนั่นลั่นขึ้น พลตำรวจทั้งสองตกใจ รีบพรวดพลาดเปิดประตูห้องน้ำเข้าไปดูสิ่งที่เห็นภายใน มีเพียงความว่างเปล่า กับเศษกระจกที่ตกแตกเกลื่อนพื้น ตี๋ใหญ่กับสมุนอันตรธานหายตัวไปแล้ว เสือร้ายทุบกระจก แล้วเสี่ยงชีวิตพุ่งตัวออกไปนอกขบวนรถไฟ ที่วิ่งด้วยความเร็ว ๙๐ กม./ชั่วโมง ซึ่งข้างนอกมืดมิด เต็มไปด้วยทุ่งนา และป่าเขา ถ้าไม่คอหักตาย ก็อาจถูกรถไฟทับขาด ๒ ท่อน เมื่อตี๋ใหญ่กระโดดหนีลงจากรถไฟ เจ้าหน้าที่ตำรวจระดมกำลังหาเสือร้ายกันอย่างยกใหญ่ แต่ไม่พบศพ หรือร่องรอยใดๆ เลย แม้แต่รอยเลือด นั้นแสดงให้เห็นว่า เขาติดปีกหนีไปอย่างลอยนวลอย่างแน่นอน นั้นเองทำให้เกิดเสียงรำลือว่า ตี๋ใหญ่ เป็นโจรจอมขมังเวทย์ มีคาถาอาคมกำบังหายตัวได้ จึงทำให้หลุดรอดจากการจับกุมของทางการได้ และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นของโจรโหดจอมขมังเวทย์ในเวลาต่อมา!!
วันที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๒๒ เวลา ๑๓.๑๐ น. ที่ร้านทองแม่บุ้งกี่ เลขที่ ๙๘๖/๓๙ ในตลาดมหาชัย ถนนสุขาภิบาล จ.สมุทรสาคร กำลังเปิดร้านตอนเที่ยง ในร้านประกอบด้วยนายสมัคร วรานุภาพ อายุ ๕๓ ปี เจ้าของร้านกำลังคุยกับนายสมาน วรานุภาพ อายุ ๕๐ ปี น้องชายพร้อมนางปราณี ภรรยาวัย ๓๙ ปี นั่งอยู่ใกล้ๆ กัน ถัดมาเป็นนายสุธีลูกชายของนายสมัครอายุ ๑๙ ปีรวมกับลูกๆ ของนายสมานมี นายธีระธรกับ ด.ช.สาธิต อายุ ๑๕ ปี รวมอยู่ด้วย นอกจากนี้หลังร้านมี นางสาวจิราภรณ์ บุตรสาวของนายสมัครนั่งทำงานบ้านอยู่กับนางคำปัน คำมา อายุ ๑๗ ปี สาวใช้
ทันใดนั้น มีชายหนุ่มสองคน แต่งกายด้วยชุดทหารพราน กับชุดกากี ถือปืนกล เอ็ม.๑๖ บุกเข้าร้านทองแหกปากให้ทุกคนในร้านห้ามขยับเขยื้อน นายสมัครตกใจในเหตุการณ์ทีค่เกิดขึ้น เขารีบหนีหลังร้าน แต่ไม่ทัน เพราะคนร้ายกราดยิงนายสมัครด้วยปืนเอ็ม.๑๖ กระสุนถูกบริเวณหน้าผาก หน้าอกเบื้องซ้ายและหน้าท้องขาดใจตายคาที่ นอกจากนั้นกระสุนลูกหลงยังไปถูกนายสุธีที่ก้านคอกระสุนฝังใน นางปราณีโดนกลางหลัง นางสาวจิราภรณ์ที่อยู่ด้านหลังโดนกระสุนที่สะบักขวาทะลุปอด นางสาวคำปันโดนขาขวา นอกนั้นสามารถหลบลูกหลงอย่างหวุดหวิด จากนั้นคนร้ายรีบใช้ปืนยิงกราดตู้โชว์แล้วใช้พานท้ายปืนทุบตู้กระจกให้แตกละเอียด แล้วเก็บกวาดทองนากนานาชนิดใส่เป้สีเขียวแบบทหาร ๒ ใบที่เตรียมมา ที่หน้าร้านมีคนร้ายสองคนดูต้นทางและคอยคุ้มกันจนเสร็จภารกิจ ทั้งหมดวิ่งไปทางท่าน้ำเทศบาล พอดีเวลานั้น จ.ส.ต.พลเทพ พลจันทร์ อายุ ๔๒ ปี ตำรวจประจำตู้ยามสถานีรถไฟเกิดได้ยินเสียงปืนดังกึกก้องจึงออกไปดูว่าอะไรเกิดขึ้น และถูกคนร้ายยิงปืนใส่ด้วยปืนเอ็ม.๑๖ จนตายคาตู้ยาม
จากนั้น พลฯ แนบ ดวงสงฆ์ ตำรวจจราจร สภ.อ.สมุทรสาคร ขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาเห็นเหตุการณ์และเกิดการต่อสู้กับกลุ่มคนร้ายและยิงโดนคนในกลุ่ม ล้มฟุตไปหนึ่งคนล้มเลือดกระฉูด ทว่า เหล่าคนร้ายไม่ยอมทอดทิ้งให้เพื่อนตายอย่างหมาข้างถนน พวกโจรยังอุตสาห์ประคองเพื่อนที่บาดเจ็บหนีไปอย่างทุลักทุเล ขณะเดียวกันก็ได้ใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าเป็นการข่มขู่ชาวบ้านและตำรวจเป็นระยะ ระยะ จากนั้นก็หนีมาที่ท่าน้ำของเทศบาลและหนีโดยทางเรือหางยาวขนาด ๒ ตอนติดเครื่องกระหึ่มมุ่งหน้า อ.กระทุ่มแบน และก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เย็นวันเดียวกันมีการพบศพคนร้ายที่พลฯ แนบ ดวงสงฆ์ ยิงในขณะหลบหนีที่ สวนริมคลองตัน ในบ้านเลขที่ ๗๔ ม.๔ คลองตัน อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาคร นี้เองตำรวจเริ่มรู้ซึ้งแล้วว่าตอนนี้ตี๋ใหญ่กลายเป็นบุคคลอันตรายระดับชาติเสียแล้ว เพราะมันกลายเป็นสัญลักษณ์ของพวกโจร เป็นทั้งคนผลิตพวกโจรสายต่างๆ ออกมาเย้ยกฎหมายมาอย่างมากมายหลายก๊ก หลายเหล่า ถ้าปล่อยนานๆ เข้าโดยไม่ทำอะไร มีหวังประเทศไทยกลายเป็นแหล่งซ่อมสุมชุมโจรเป็นแน่ เจ้าหน้าที่ตำรวจจำต้องวางแผนทำอะไรสักอย่าง
อะไรที่มีประสิทธิภาพ สามารถปราบตี๋ใหญ่ได้อย่างอยู่หมัด ตี๋ใหญ่ ในตอนนั้นรู้ตัวดีว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดใหญ่ทิ้งภาระอื่นๆ เพื่อมาตามจับเขาโดยเฉพาะ เขาเริ่มยิ่งระมัดระวังตัวเป็นทวีคูณ ลางสังหรณ์บางอย่างเกิดขึ้น ตี๋ใหญ่เคยปรารภว่า เขาอาจจะต้องตายเพราะคนใกล้ชิดคนใดคนหนึ่ง
แน่นอนมันเป็นลางสังหรณ์ที่เป็นเรื่องจริงในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ยุทธการขั้นต่อไปของเจ้าหน้าที่ตำรวจ คือ การใช้แผนเกลือจิ้มเกลือ ไม่เช่นนั้น หากไล่ล่ากันต่อไป ชื่อเสียงของกรมตำรวจยิ่งเสื่อมลงเสื่อมลง ซึ่งนั้นทำให้ค่าหัวของโจรผู้นี้มีมูลค่า ๕๐,๐๐๐ บาท ในสมัยนั้น และนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของอวสานของตี๋ใหญ่ แผนการของตำรวจถูกวางไว้อย่างแยบยล เริ่มจากนายทวีป เสือคล้ำ ลูกน้องคนสนิทของตี๋ใหญ่ที่ไว้วางใจคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามประกบแล้วกล่อมให้ร่วมมือเวลาต่อมา จากนั้นก็สั่งให้นายทวีปเป็นสายส่งข่าวบอกความเคลื่อนไหวของตี๋ใหญ่ให้ทราบ โดยมีเงินรางวัลนำจับ ๕๐,๐๐๐ บาท เป็นของล่อใจ
แน่นอน งานนี้ ตำรวจหมายมั่นปั้นมือว่ามันต้องสำเร็จ นายทวีปตกลงกับตำรวจ กล่าวกันว่าช่วงเวลานี้ ตี๋ใหญ่กำลังตัดสินใจวางวางมือจากการปล้นฆ่าและหันไปหาที่ลี้ภัยไกลๆ สักที่หนึ่ง แล้วอยู่อย่างคนธรรมดาสามัญ แบบปกติสุข โดยมีเงินเก็บก้อนหนึ่งพอสมควร แต่ลิขิต แห่งชีวิตได้ถูกขีดไว้แล้ว มันต้องไปตามนั้น ตี๋ใหญ่ตัดสินใจวางแผนปล้นอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นครั้งสุดท้ายโดยเขาหมายมั่นจะปล้นปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่ง และแน่นอนแผนการครั้งนี้เสือคล้ำไปคาบข่าวกับตำรวจเรียบร้อย
มีข่าวลือ ข่าวอ้างว่า ขณะตี๋ใหญ่อยู่ระหว่างหลบหนี ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน นายทวีป เสือคล้ำ ได้ขโมยตะกรุดโทนของพระอาจารย์สุดแห่งวัดกาหลงมอบให้ตี๋ใหญ่ ไม่รู้เพราะสาเหตุใดที่ทำให้นายทวีปต้องเสี่ยงขโมย อาจเป็นเพราะอาจทำให้ตี๋ใหญ่ขาดมนต์คาถาอาคม หรือตำรวจสั่งให้ทำเพราะคาดว่าถ้าตี๋ใหญ่ทำตะกรุดหายเขาต้องมาวัดกาหลงแน่ ซึ่งที่นั้นเหมาะสำหรับการล้อมจับตี๋ใหญ่อย่างยิ่ง (บางแห่งบอกว่าเขาได้ลืมตะกรุดโทนและเขี้ยวเสือที่รับจากหลวงพ่อสุดมา อยู่ในซ่องมหาชัย แต่ค้นหาอย่างไรก็ไม่เจอ จึงต้องบากหน้ามาที่วัดกาหลง)
แน่นอนไปตามที่คาดเมื่อตะกรุดหาย ตี๋ใหญ่จำต้องเดินทางไปวัดกาหลง เพื่อไปขอตะกรุดอันใหม่จากหลวงพ่อสุดอีกครั้ง และนี้คือจุดจบของตี๋ใหญ่!!
๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ณ นากุ้ง ลึกเข้าไปที่วัดกาหลง เขตจังหวัดสมุทรสาคร ตี๋ใหญ่และสมุนสามคนขับรถปิกอัพมาสด้าสีขาวหมายเลขทะเบียน ม ๐๐๖๓ ขนาด ๑๒๐๐ ซีซี. สมุทรสาคร ขับไปทางวัดกาหลงเพื่อมาหาพระอาจารย์หลวงพ่อสุด แห่งวัดกาหลง แต่ไม่พบตัว ขณะที่เดินทางกลับ รถของตี๋ใหญ่มาถึงซอยวัดธรรม เขาก็พบด่านตำรวจและตำรวจรายล้อม ตำรวจโบกมือให้รถหยุด แต่ดาวโจรเลือดมังกรใช้กระสุนปืน ๑๑ ม.ม. ยิงใส่ และใช้รถแหกด่านจ้าละหวั่น จากนั้น รถตี๋ใหญ่ก็พุ่งวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนถึงบริเวณที่ตำรวจวางแผนซุ่ม จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ใช้อาวุธปืนนานาชนิดยิ่งใส่รถส่ายไปส่ายมาจนลูกน้องที่นั่งอยู่ด่านหลังต้องหนีลงจากรถวิ่งหนีไปป่าละเมาะสองข้างทาง เพราะขื่นอยู่ต้องตายตามลูกพี่แน่นอน หลังจากนั้นประชาชนอย่างเราก็ไม่ทราบแล้วละครับ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตี๋ใหญ่?
ตามข่าวจากหนังสือพิมพ์ว่ากันว่า ณ เวลานั้นเองกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประกบไล่ตามรถที่ตี๋ใหญ่ขับอย่างกระชั้นชิด ตี๋ใหญ่รู้ตัวแล้วว่า ตอนนี้ตำรวจไล่ล่าตามติดมาและตัดสินใจสู้ ดีกว่าถูกจับไปขังที่คุกนรกนั้น จากนั้นเสียงระเบิด ห่ากระสุน จากปลายกระบอกปืน ของผู้ไล่ล่า และผู้ถูกล่า ดังกึกก้องกัมปนาท สนั่นหวั่นไหว สะท้านสะเทือน เลื่อนสั่น พอฝุ่นจาง เสียงปืนสงบ ปรากฏร่างของตี๋ใหญ่เขานั่งที่คนขับ เขานอนสงบนิ่ง คราบเลือดแดงฉาดเปรื้อนเปรอะ เขาสวมยีนส์ เสื้อลายสก็อตสีน้ำเงิน จากการสำรวจตามร่างกาย ตี๋ใหญ่โดนกระสุนทะลุทะลวงเข้าที่โหนกแก้มซ้าย ๒ นัด กกหูขวา ๑ นัด ไหล่ซ้ายและราวนมซ้ายอย่างละ ๑ นัดรวมทั้งที่รักแร้ซ้าย และต้นคอ เขาเสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ
แน่นอนเหตุการณ์นี้เป็นคำออกจากปากของ พล.ต.ท.เสน่ห์ สิทธิพันธ์ ผบ.ช.น. กับ พล.ต.ท. สุขุมวาท ผบ.ช.ภ. ๑ ได้ร่วมกันแถลงข่าวทั้งหมดว่าตี๋ใหญ่ตายเพราะตำรวจยิง แต่ก็มีเสียงเล่าอ้างอีก ว่าตี๋ใหญ่อาจตายเพราะลูกน้องหักหลัง โดยสมุนสามคนอาจฆ่าตี๋ใหญ่ก่อนที่จะหนี เพราะกลัวตำรวจตามจับเพราะลูกพี่ตามหนีพร้อมสามคนมีหวังโดนจับพร้อมกันหมดแน่ จึงน่าจะทิ้งไว้สักคนเป็นตัวล่อถ่วงเวลาตำรวจ ซึ่งคนนั้นคงไม่มีใครเกินตี๋ใหญ่คนที่ตำรวจต้องการตจัวมากที่สุดนั้นเอง หรือไม่ก็ไม่ก็มีความแค้นกับตี๋ใหญ่อยู่ก่อนแล้วเพราะเงินจากการปล้นที่สมุทรสาครที่ผ่านมาไม่ลงตัวทำให้แตกแยกกันในแก๊ง
ภายหลังจากการเสียชีวิตแล้ว ยังมีเสียงเล่าลือกันอีกว่า ตี๋ใหญ่แท้จริงยังไม่ตาย บ้างก็ลือกันว่าตี๋ใหญ่ได้หนีไปอยู่สหรัฐอเมริกา บ้างก็เชื่อว่าที่ตี๋ใหญ่เสียท่าแก่ตำรวจ เพราะได้หลบไปซ่อนอยู่ใต้ผ้าถุง อาคมในตัวจึงเสื่อม เป็นต้น เรื่องราวของตี๋ใหญ่ยังถูกเล่าขานต่อ ๆ กันมา
ทั้งหมดนี้คือข่าวที่โด่งดังที่สุดในปีนั้นซึ่งยังอยู่ในความทรงจำต่อใครหลายๆ คนจนถึงทุกวันนี้ ก่อนจบ ตะกรุดโทนของหลวงพ่อสุดนั้นเป็นตะกรุดดอกใหญ่ทำจากตะกั่ว หลวงพ่อลงมือจารด้วยตัวเอง เป็นการจารทีละตัวและท่องคาถากำกับแล้วปรุกเสกครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นเอาด้ายมามัดหุ้มตัวตะกร้ออีกทีแล้วก็ว่าด้วยคาถากำกับเป็นอันเสร็จพิธี สำหรับตะกรุดโทนที่ตี๋ใหญ่ใช้นั้นหลวงพ่อสุดใช้เวลาปลุกเสกเป็นพิเศษถึง ๓ ไตรมาส และตะกรุดโทนนี้เองที่ทำให้ตี๋ใหญ่คงกระพันชาตรี
นอกจากตะกรุดโทนแล้วยังมียันต์ตะกร้ออีกด้วย หลวงพ่อสุด ศิริทฺโร มรณภาพในปี ๒๕๒๖ ภายหลังจากตี๋ใหญ่ถูกสังหาญไปแล้ว ๒ ปีรวมศิริอายุได้ ๘๑ ปี ตำนานของขลังของท่านกลายเป็นที่กล่าวขลังของคนชอบคาถาอาคมอย่างไม่รู้จบ
อ้างอิงข้อมูลจาก - rb-story.blogspot.com , www.soccersuck.com , atcloud.com