- 27 ธ.ค. 2560
ติดตามเรื่องราวดีๆอีกมากมายได้ที่ https://www.facebook.com/partiharn99/
เล่ากันว่าเสือไท หรือ อดีตทหารมหาดเล็กไท คนนี้ เป็นบุคคลที่กำเนิดจากครอบครัวของผู้ที่มีฐานะ เดินสู่เส้นทางนักเลง ร่ำเรียนไสยเวทอาคมและวิชาการต่อสู้เกือบทุกรูปแบบก่อนถวายตัวเป็นมหาดเล็กของ พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงค์ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บิดาแห่งกองทัพเรือไทย และต่อมาได้เป็นทหารคนสนิท ของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานเป็นพิเศษ เพราะเนื่องจากในจำนวนทหารมหาดเล็ก ที่ใกล้ชิดทั้งหมด มหาดเล็กไท เป็นผู้มีความรู้ทางไสยศาสตร์ และมีคาถาอาคม ถูกพระทัย เสด็จในกรมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ต่อมาในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๖ มหาดเล็กไท ประสบวิบากกรรม ต้องหาคดีอาญาร้ายแรง ต้องระหกระเหิน หลบหนี กลายเป็นเสือ ที่ทางราชการต้องการตัวเป็นอย่างมาก โดยเหตุการณ์คืนนั้นมีอยู่ว่า
คืนวันหนึ่ง ที่โรงบ่อนเบี้ยเถื่อนในกรุงเทพฯ มีการทะเลาะวิวาทกันรุนแรงจนถึงขั้นตะลุมบอนยิงแทงกัน และบังเอิญที่ อดีตพลทหารไท อยู่ในที่นั้นด้วย มีเสียงปืนจากพลตระเวนดังขึ้นหลายนัดเพื่อระงับเหตุและพวกนักเลงที่ยิงกันเอง กระสุนปืนเจ้ากรรมนัดหนึ่งเป็นลูกหลงปริศนาพุ่งเข้าตัดขั้วหัวใจของพลตระเวณนายหนึ่งล้มลงขาดใจตาย เป็นขณะเดียวกันที่ พลทหารไทกับพวกวิ่งสวนมาทางนั้นพอดี มีเสียงตะโกนมาจากนักเลงอีกกลุ่มหนึ่งว่า ไอ้ไทยิงตำรวจ
ลำพังคดีฆ่าคนธรรมดาก็หนักอยู่แล้ว แต่นี่เป็นคดีที่ถูกกล่าวหาว่าฆ่าเจ้าหน้าที่ตำรวจในขณะปฏิบัติหน้าที่ยิ่งหนักหนาสาหัส็นการหลบหนีคดีครั้งที่ ๒ ของชีวิต ดูเหมือนว่าการหนีในคราวนี้แผ่นดินไทยดูจะแคบเกินไปจนแทบจะไม่มีที่หลบซ่อนตัว เขาจึงต้องข้ามเขตชายแดนไปหลบซ่อน ที่ประเทศเพื่อนบ้าน ที่ลาว เขมร มาเล สิงคโปร์
ในช่วงนี้เอง ที่เสือไท ได้ใช้วิชาไสยศาสตร์ที่มีอยู่ ทั้งวิชา อยู่ยงคงกระพัน ล่องหน หายตัว หลีกหนี การจับกุม ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ไปได้ อย่างน่าอัศจรรย์ใจ
เสือไท จึงเป็นเสือร้าย ที่หนี คดีอาญา มากกว่าเป็นเสือปล้น แต่ด้วยชื่อเสียงที่โด่งดังจนคับฟ้าในสมัยนั้น ทำให้มีผู้ นำชื่อเสือไท ไปใช้ ในทางที่ไม่ดี มีคนแอบอ้างชื่อเขาเป็นโจรออกปล้นจี้ อยู่ระหว่างเขตพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี เลยไปถึงฝั่งตะวันตก กาญจนบุรี ทำให้สถานการณ์ของเขากลับเลวร้ายลงไปอีก คนทั่วไปมักพูดว่า "ไอ้ไท คนร้ายหนีคดีฆ่าตำรวจ ได้กลายเป็นเสือไทไปแล้ว"
ด้วยวิธีหนามยอกต้องเอาหนามบ่ง เขาจึงหนีเข้าป่าไปรวมกับพวกหนีคดีอีกหลานคน จนมีการบอกกันปากต่อปาก จากหนึ่งเป็นสอง เป็นสาม เป็นสิบ และเป็นร้อยในเวลาต่อมา เมื่อทุกคนรู้ประวัติความเป็นมาของอดีตพลทหารไท จึงมีความเคารพยกย่องให้เป็นลูกพี่หรือผู้นำ เขาได้กลายเป็นหัวหน้าชุมโจรไปแล้วโดยสมบูรณ์แต่บัดนั้น
งานแรกสำหรับเสือไท ก็คือการล้างรอยแค้นตามไปจัดการกับ ไอ้เสือไทตัวปลอมที่แอบอ้างชื่อเขาหากิน ที่เขตรอยต่อสุพรรณบุรีและกาญจนบุรี ชาวบ้านหวาดกลัวเสือไทตัวปลอมมาก มีการปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ ฉุดลูกเมียชาวบ้านไปข่มขืน กระทำการอย่างอุกอาจไม่เกรงกลัวกฎหมาย ทุกครั้งที่เข้าปล้น ได้ประกาศชื่อเสือไท มันเป็นคนสูงใหญ่ ไว้หนวดเคราเข้มขรึม พูดจาเสียงดัง มีนิสัยชอบข่มขู่และทำร้ายคนไม่มีทางสู้ ชาวบ้านต่างเข้าใจว่ามันคือเสือไทตัวจริง
เสือไทตัวจริงจึงเริ่มปฏิบัติการ ฆ่าตัดหัวเสือไทยตัวปลอม โดยวันหนึ่งได้พบโจรไทตัวปลอมเข้ามาเบ่งบารมีในร้านเหล้า รูปร่างน่ายำเกรงตามที่ชาวบ้านบอก เสือไทตัวจริงจึงได้ใช้มีดปังตอของอาแป๊ะเจ้าของร้านเหล้า ขณะนั้นเสือไทตัวจริงเขาแต่งตัวแบบชาวบ้านเข้าไปกับลูกน้องคนสนิทเพียงสองคน แล้วประกาศว่า กูนี่แหละ เสือไทตัวจริง แล้วก็ตัดคอเสือไทตัวปลอมและลูกน้องจนสิ้นใจ ปัญหาใหม่ที่ตามมา คือ จำนวนสมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ในช่วงเวลานั้นเป็นปลายสมัยรัชกาลที่ ๗ แล้ว บ้านเมืองใกล้เข้าสู่ยุคเปลี่ยนแปลง เศรษฐกิจตกต่ำ มีคนหนีคดีอาญาเข้าป่าเป็นเสือเป็นโจรจำนวนไม่น้อย
เสือไท ไม่ได้ปฏิเสธเรื่องการปล้น แต่ทำด้วยสำนึกเสมอว่าตนเองเป็นเสือลำบาก ไม่ใช่โจร จึงเลือกปล้นเฉพาะพวกเศรษฐีหรือนายทุนหน้าเลือด เอารัดเอาเปรียบและชอบรีดนาทาเร้นคนยากจนเท่านั้น เขาเคยปล้นเรือโยงข้าว แล้วขนเอาข้าวสารไปแจกจ่ายชาวบ้านก็เคยทำมาแล้ว ชื่อเสียงที่เคยเสียหายเพราะเสือไทตัวปลอมทำไม่ดีไว้ เริ่มจะพอมีคนพูดถึงในทางที่ดีบ้าง
วันเวลาได้ผ่านไปจนเข้าสู่ต้นสมัยของรัชกาลที่ ๘ เสือไทเริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต ที่ต้องแบกรับปัญหาลูกน้องนับร้อย มันขัดกับนิสัยของเขาที่ชอบชีวิตเรียบง่ายและสมถะ ตลอดชีวิตที่เป็นโจรต้องหนีตำรวจอย่างเดียวเท่านั้น นี่คือกฎเหล็กที่เขากำหนดขึ้นมา ห้ามฆ่าหรือทำร้ายเจ้าทรัพย์ และห้ามต่อสู้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง และแล้วเมื่อความเบื่อหน่ายต่อชึวิตการเป็นโจรมาถึงจุดสุกงอม เสือไทจึงเรียกประชุมลูกน้องแล้วประกาศให้รับรู้พร้อมกันว่า ข้าจะปล้นเป็นครั้งสุดท้าย
การปล้นครั้งสุดท้าย ได้ทรัพย์สินตามต้องการ แต่เขาไม่ขนอะไรออกมามากจนเกินความจำเป็น ไม่ยอมให้ความโลภมาครอบงำ เสือไทได้บอกกับเศรษฐีชาวจีนคนนั้นว่า ให้ถือว่าเป็นการชดใช้หนี้เก่า ชาติที่แล้วคงเอาของตนไป ชาตินี้จึงมาปล้น ก่อนกลับออกมาขอร้องให้เลิกรีดดอกเบี้ยชาวบ้าน ถ้ายังขืนทำต่อก็จะมีโจรก๊กอื่นมาปล้นจนหมดตัว เถ้าแก่ไม่มีทางปฎิเสธได้แต่พยักหน้ารับคำ ภายหลังจากได้เดินสำรวจดูลาดเลาจนแน่ใจ เสือไทตัดสินใจเลือกจังหวัดพิจิตรเป็นที่พักพิงสุดท้ายที่คิดว่าน่าจะปลอดภัยที่สุด
ท่านขุนพันธ์ ท่านได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเสือไทดี ตั้งแต่ก่อนที่ท่านจะเข้ามารับตำแหน่ง ผู้บังคับกองตำรวจภูธรที่จังหวัดพิจิตร
เนื่องจากผู้ให้ข้อมูลลับ กับท่านขุนพันธ์นั้น คือข้าราชการระดับสูงทางภาคใต้ ซึ่งเป็นอดีตทหารมหาดเล็กของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ และเป็นหนึ่งในทหารเสือ ของเสด็จในกรมฯ และเป็นผู้ที่รู้จักกับเสือไท เป็นอย่างดี
เมื่อสิ้นเสด็จในกรมฯ เสือไทได้หลบหนี หลบซ่อนตัวในหลายจังหวัด จนคดี หมดอายุความเสือไท ได้เปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่ เดินทางเข้ามาใช้ชีวิต ในบั้นปลาย ที่จังหวัดพิจิตร
ด้วยเหตุนี้ ชาวพิจิตร จึงไม่รู้จักเสือไท ทราบกันแต่ว่า ที่หมู่บ้านจรเข้ผอม ตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตรมีผู้เรืองอาคม และมีวิชาแก่กล้า มาอาศัยอยู่ ทุกคนเรียกชายสูงอายุนี้ว่าพ่อหลิม
และชื่อพ่อหลิมนี้ก็คือ ชื่อใหม่ของเสือไท
ท่านขุนพันธ์ ใช้เวลานานสองปี กว่าจะได้พบพ่อหลิม โดยขุนพันธ์ต้องพิสูจน์ตัวเองหลายอย่าง ให้พ่อหลิม เชื่อใจ ก่อนที่จะรับท่านขุนพันธ์เป็นศิษย์ และสอนวิชาให้
เป็นที่ทราบกันดี ว่าพ่อหลิม หรือเสือไท เป็นผู้มีวิชาแก่กล้า ได้ร่ำเรียนวิชา มาจากพระเกจิอาจารย์หลายรูป อาทิ หลวงพ่อพริ้ง วัดบางประกอก หลวงพ่อศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน รวมทั้งอาจารยที่เป็นฆารวาส อีกหลายคน
กล่าวกันว่า วิชา ที่ท่านขุนพันธ์ ยังขาดอยู่และมีความประสงค์ อยากที่จะเรียนมากๆ คือวิชา คัดของ คัดธาตุทั้ง ๔ ออกจากตัวคน ที่มีวิชาอาคม หรือคัดออกจากเครื่องรางของขลัง
เนื่องจากท่านขุนพันธ์เห็นว่ามีคนที่มีวิชาอาคม หลายๆคน ที่ท่านใช้ปืนจัดการกับเขาเหล่านั้นไม่ได้
วิชาคัดของนี้เป็นสุดยอดวิชา คงกระพันชาตรี ที่เกจิอาจารย์ส่วนใหญ่ไม่ยอมสอนให้ศิษย์โดยตรง ๆเนื่องจากถือว่าเป็นวิชาฆ่าคน ผิดศีล5ข้อที่1ที่ผู้สอนอาจถึงกับเสื่อมวิชา ที่มีอยู่ในตัวได้
นอกจากวิชานี้แล้วยังมีวิชากระสุนคด ที่เกจิอาจารย์จะไม่อยากสอนให้ใครง่ายๆ กระสุนคดเป็นวิชา ที่ยิงปืนเพียงนัดเดียว สามารถฆ่าคนได้ทั้งกองทัพ
ซึ่งวิชานี้ เสด็จในกรม ท่านเคยกราบขอเรียนกับหลวงปู่ศุข แต่หลวงปู่ศุขท่านไม่ยอมสอน แต่เมตตา แสดงให้เสด็จในกรมได้เห็นว่าวิชานี้ เป็นวิชา ที่ทำได้จริง
โดยเมือหลวงปู่ศุขใช้วิชานี้ ยิงปืนไปที่สระบัวใบ ที่วังนางเลิ้ง เพียงครั้งเดียว ทำให้ใบบัวนั้น ทะลุได้หมดทุกใบเลยทีเดียว
แต่วิชานี้ เสือไท หรือพ่อหลิม เรียนได้สำเร็จ และทำได้จริงเรียนมาจากอาจารย์ท่านใด ไม่เป็นที่เปิดเผย
เกี่ยวกับวิชาคัดของคือ เมื่อผู้ใช้วิชานี้ ว่าคาถา และเล็งปืนไปยังร่างคนที่เราจะฆ่า หากคาถาได้ผล ร่างที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นจะขยายใหญ่ขึ้นมารับศุนย์ปืน แต่ถ้าไม่ได้ผล ร่างนั้นก็จะย่อเล็กลง แสดงว่าผู้ที่เป็นเป้าหมายนั้น มีของดีคุ้มตัว
ชื่อเสียงของพ่อหลิม ในเรื่องของวิชาคัดของนี้ มีอยู่ว่า ที่วัดจรเข้ผอม ที่ริมแม่น้ำยม ฝั่งตรงข้ามบ้านพ่อหลิม มักจะมีพวกร้อนวิชา นำพระเครื่อง และเครื่องรางของขลัง ของตนเอง แต่ละคน มาทดสอบกัน เป็นประจำ เสียงปืน สร้างความรำคาญให้แก่พระเณร และชาวบ้าน และหลวงพ่อหลิมด้วย
จนหลวงพ่อหลิมทนไม่ไหว เข้าไปดู แล้วบอกพวกร้อนวิชาเหล่านั้นว่า จะลองของไปทำไม กัน ของดีก็คือของดี ถึงเวลาก็รู้เอง
แต่คนเหล่านั้น ก็ยังยืนยัน ว่าของขลังของตนแน่ และจะลองของกันต่อไป พ่อหลิมเลยขอลองบ้าง โดยบอกให้เอาของขลังที่ว่าแน่ๆ มาวางรวมกัน แล้วให้เจ้าของเครื่องรางคนหนึ่ง ไปหยิบปืนลูกซอง ที่พวกเขาว่ายิงของขลังไม่ได้ ทำยังไงก็ยิงไม่ออกนั่นเอง มาใช้เป็นอาวุธ
หลวงพ่อหลิมพนมมือ กันหายใจว่าคาถา คัดของ คัดธาตุ แล้วเล็งกระบอกปืน ไปที่ของทั้งหมด แล้วเหนี่ยวไก ปืนลั่น ดังสนั่นเลย ของขลัง ทั้งหมด แตกกระจาย กระเด็นหายไปในอากาศ ท่ามกลาง ความตกตะลึง ของทุกคน เจ้าของ ของขลังบางคนถึงกับร้องไห้ เสียดาย ของขลังของตนเอง จากนั้นก็ไม่มีใครมาลองของให้หนวกหู พ่อหลิม อีกเลย
ไม่มีใครทราบบั้นปลายของเสือไทแน่ชัดแม้แต่ ท่านขุนพันธ์ ก็ไม่ลงรายละเอียดมากนัก บอกแต่ว่าท่านศรัทธาในตัวพ่อหลิมมาก ในขณะนี้มีเกจิชื่อดังหลายรูปที่คาดว่าคือเสือไท ในอดีต หนึ่งในนั้นที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด คือ พ่อท่านเอื้อม กตปุญโญ...
อ้างอิงข้อมูลจาก - baanjompra.com , หนังสือ วีรบุรุษขุนโจรเสือไท , Facebook เรื่องเล่า ภาพเก่า ในอดีตราชบุรี