- 06 เม.ย. 2563
สืบเนื่องจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะแกนนำคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาการตัดสินใจประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล เป็นเสมือนการใช้อำนาจในลักษณะรัฐประหารทางการเมืองอีกครั้ง ตามใจความบางช่วงตอน ระบุว่า “รัฐประหารโควิด” หรือ “Covid Coup d’état” และการรวมศูนย์อำนาจที่แตกเป็นส่วนๆ หรือ “Fragmented Centralization” ]
สืบเนื่องจาก นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะแกนนำคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊กส่วนตัว วิพากษ์วิจารณ์กล่าวหาการตัดสินใจประกาศใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินของรัฐบาล เป็นเสมือนการใช้อำนาจในลักษณะรัฐประหารทางการเมืองอีกครั้ง ตามใจความบางช่วงตอน ระบุว่า “รัฐประหารโควิด” หรือ “Covid Coup d’état” และการรวมศูนย์อำนาจที่แตกเป็นส่วนๆ หรือ “Fragmented Centralization” ]
“สภาวะยกเว้น” ไม่ว่าเราจะเรียกมันว่าอะไร ( สถานการณ์ฉุกเฉิน, กฎอัยการศึก, กฎหมายฉุกเฉิน, ฯลฯ ) จะเกิดขึ้นได้ ก็ต้องมีองค์ประกอบร่วมกันอยู่ 3 ประการ คือ 1.เกิดวิกฤตการณ์ 2.นำมาซึ่งการออกกฎเกณฑ์มาตรการที่มักจะให้อำนาจพิเศษแก่ผู้ปกครอง 3.เป็นไปเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยของรัฐ
ในประเทศไทยเอง ล่าสุดมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินและมีเคอร์ฟิว รวมกับมาตรการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการห้ามบิน การบังคับกักตัวผู้เดินทางเข้าไทย ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้อ้างว่ามาจากการรักษาสุขภาพของประชาชนให้พ้นภัยจากวิกฤตโควิด-19
ผมอยากฝากไปถึงทุกท่านว่าผมเข้าใจสถานการณ์และเห็นใจผู้ปฏิบัติหน้าที่หน้างานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ความมั่นคง เจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกคน ฯลฯ รวมทั้งรัฐบาลด้วย
แต่การเข้าอกเข้าใจเพียงอย่างเดียวโดยไม่ร่วมกันฉุกคิดวิเคราะห์ หรือท้วงติงใดๆ ปล่อยให้ผู้ปกครองกระทำการโดยไร้ทิศทางและวิธีการที่ดีในการบริหารประเทศช่วงสถานการณ์วิกฤตเลยก็จะเป็นเรื่องที่แย่ไปอีกเหมือนกัน จึงอยากให้ทุกคนเข้าใจตรงกันและร่วมกันคิด วิเคราะห์ ท้วงติงหรือเสนอแนะกันได้อย่างเต็มที่
ไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจและตอนหนึ่งกล่าวว่า “สุขภาพนำเสรีภาพ” ผมเห็นว่าไม่จำเป็น เพราะ “สุขภาพ” สามารถเคียงคู่กับ “เสรีภาพ” ได้ ดังนั้นเราต้องไม่ปล่อยให้ “สุขภาพ” กลายเป็นข้ออ้างมาสร้างความชอบธรรมให้การบริหารราชการแผ่นดินที่ไร้ประสิทธิภาพจนไม่รู้ว่าจะพาประเทศไปทางไหนในยามวิกฤตโควิดครั้งนี้
ล่าสุด ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความแสดงความเห็นในเชิงตอบโต้กลับไปถึง นายปิยบุตร ผ่านหน้าเฟสบุ๊กส่วนตัวเช่นกัน มีใจความสำคัญระบุว่า #ปิยบุตรสมอง NIM อยากถามปิยบุตรว่านี่เขากำลังรัฐประหารโควิดกันทั่วโลกแล้วใช่หรือไม่?
ปิยบุตรเนี่ยต้องสมอง "NIM" แค่ไหนถึงสามารถคิดได้แบบนี้? ขณะที่ชาวโลกจำนวนกว่า 3.9 พันล้านคนหรือกว่าครึ่งโลกกำลังเก็บตัวอยู่บ้านเพื่อต่อสู้กับ โควิด-19 เพราะประเทศกว่า 90 ประเทศทั่วโลกต่างก็ได้งัดยุทธิวิธีต่างๆออกมาเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของ โควิด-19 และปกป้องชีวิตของประชาชนตามความเหมาะสมของสถานการณ์ด้วยกันทั้งนั้น แถมมีหลากหลายประเทศทั่วโลกที่ได้งัดมาตรการที่เข้มข้นยิ่งกว่าประเทศไทยออกมาใช้ตามความหนักหนาสาหัสของสถานการณ์เสียด้วยซ้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในทั่วทั้งทวีปยุโรปและอเมริกา
ถ้าปิยบุตรไม่มีปัญญาช่วยให้อะไรมันดีขึ้นมาก็ควรอยู่เฉยๆ แต่นี่ปิยบุตรกลับมือไม่พายแล้วเอาเท้าราน้ำอยู่ตลอดเวลา พฤติกรรมของปิยบุตรทั้งหมดมันแสดงออกถึงความหมกมุ่นและฝักใฝ่การนองเลือด เพื่อนำไปสู่การปฏิวัติสาธารณรัฐเพื่อสนองตัณหาของตัวปิยบุตรเอง
โดยหลอกใช้มวลชนที่โง่เขลาเบาปัญญาออกมาตายแทนตัวปิยบุตรเองใช่หรือไม่? #รู้ทันแผนการใต้ดินอันสกปรกและชั่วร้ายของลัทธิวิปริตซ้ายตกขอบทางการเมือง สามารถสังเกตได้จากการที่ปิยบุตรชอบนำแนวคิดทางการเมืองของพวกหัวรุนแรงแบบซ้ายตกขอบในประวัติศาสตร์มานำเสนออยู่บ่อยๆ #ปิยบุตรสมอง NIM ซ้ายตกขอบ
ดังนั้นพฤติกรรมของปิยบุตรจึงส่อให้เห็นถึงความฝักใฝ่ต่อความรุนแรงและสงครามกลางเมืองตามแบบอย่างของการปฏิวัติฝรั่งเศสที่มีคนตายหลายแสนคน(ปิยบุตรยกย่อง...แซ็ง-ฌุสต์) หรือการปฏิวัติรัสเซียที่มีคนตายหลายล้านคน(ปิยบุตรยกย่อง...ทรอตสกี) #อย่าทำตัวเป็นคนหนักแผ่นดินเลยนะปิยบุตร
พฤติกรรมของปิยบุตรในขณะนี้ที่ชีวิตของพี่น้องประชาชนชาวไทยกำลังเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายและอยู่ท่ามวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 คงจะตอบคำถามได้เป็นอย่างดีว่า...
ปิยบุตรเคยเห็นหัวมวลชนตาดำๆที่โฉดเขลาจนหลงเชื่อคนอย่างปิยบุตรบ้างหรือไม่ หรือว่าปิยบุตรเห็นแก่ตัวและหมกมุ่นอยู่กับลัทธิประชาธิปไตยจอมปลอมที่ตัวเองบิดเบือนขึ้นมา?