- 26 พ.ค. 2563
เปิดบทบาท ปิยบุตร แสงกนกกุล นักวิชาการปฏิปักษ์กษัตริย์นิยม แพร่ระบาดสู่เครือข่าย อันตรายที่ต้องจับคา
ภายใต้บทบาทนักวิชาการ และนักการเมืองในนามคณะก้าวหน้า ต้องถือว่า นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ มีจุดยืนชัดเจนด้วยการแสดงทัศนคติ ที่มีความล่อแหลมยิ่งต่อแนวคิดเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการปกครอง นับตั้งแต่ช่วงที่มีสถานะเคลื่อนไหวใน คณะนิติราษฎร์ ซึ่งเคยนำเสนอชุดความคิด เมื่อวันที่ 27 มี.ค.2554 เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายเกี่ยวกับความผิดฐานหมิ่นประมาท โดยเฉพาะมาตรา 112 ซึ่ง คณะนิติราษฎร์ ในขณะนั้น ได้เรียกร้องใน 7 ประเด็นสำคัญ อาทิ การเพิ่มหมวดลักษณะความผิดเกี่ยวกับพระเกียรติของพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท และเกียรติยศผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และ การเพิ่มเหตุว่าด้วยการยกเว้นความผิดกรณีแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต รวมถึงกรณีข้อความที่กล่าวหานั้น ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นความ จริง และการพิสูจน์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
ขณะที่ปัจจุบันแม้ว่า นายปิยบุตร จะไม่ได้อยู่วงโคจรการเมืองในระบอบรัฐสภาโดยตรง แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวผ่านคณะก้าวหน้า ก็ยังไม่มีความเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม โดยเฉพาะระยะหลังๆ ที่ออกมา โพสต์ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก พร้อมคลิปรายการ Interregnum หลายบทตอนเกี่ยวเนื่องกับ ประวัติศาสตร์การปกครองของฝรั่งเศส โดยการยึดโยงไปถึงรูปแบบการบริหารประเทศในลักษณะของสาธารณรัฐ และ การเปลี่ยนแปลงระบอบกษัตริย์อย่างมีนัยสำคัญ กระทั่งเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์กลับ เชิงสงสัยในเจตนาที่แท้จริงของนายปิยบุตร
( คลิกอ่านข่าวประกอบ : ดร.นิวซัดแรง ฝนตกขี้หมูไหล เทียบคู่ผัวเมียคลั่งฝรั่งเศส ร่วมตะวันตกปลุกระดม บิดเบือนภาพเคารพเบื้องสูง )
จนมาถึงการชักชวนให้ดูภาพยนตร์สารคดีของ Alain Badiou นักปรัชญาเมธีชาวฝรั่งเศส ที่ นายปิยบุตร อ้างว่าผู้ถูกฝ่ายอนุรักษ์นิยมกล่าวหาว่าเป็น “ผู้ก่อการร้ายทางปัญญาฝ่ายซ้าย” ก่อนจะจบท้ายว่า
“สำหรับผมแล้ว événement คือ บางสิ่งซึ่งทำให้ความเป็นไปได้ปรากฏขึ้น ความเป็นไปได้ที่เราไม่เคยเห็นมันหรือไม่เคยคาดคิดมาก่อน événement ไม่ใช่การสร้างความจริง แต่มันคือการสร้างความเป็นไปได้ เปิดทางความเป็นไปได้ ชี้ให้เราได้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ดำรงอยู่แต่เราละเลยมัน ... événement สร้างความเป็นไปได้ แต่ต้องมีการทำงาน ในทางการเมือง คือ การทำงานกลุ่ม ในทางศิลปะ คือ การทำงานปัจเจก เพื่อให้ความเป็นไปได้นั้นกลายเป็นความจริง
... ตัวอย่างง่ายที่สุด คือ ความรัก เราพูดกันว่า “ตกหลุมรัก” คุณพบใครคนใดคนหนึ่ง คุณเจอเขา เขาเจอคุณ นั่นคือการเปิดความเป็นไปได้ที่ไม่ได้คาดการณ์มาก่อนในการดำรงอยู่เชิงบุคคล มันไม่ใช่การเจอกันแล้วจะก่อตั้งความรัก แต่มันต้องมีชีวิตด้วยกัน หลังจากนั้นก็จะเกิดผลลัพธ์ต่อเนื่องตามมา การพบเจอกันเป็นการเปิดความเป็นไปได้ใหม่ๆ ให้แก่ชีวิตซึ่งไม่อาจคาดหมายล่วงหน้า เหตุการณ์ทางการเมือง เช่น ประชาชนเดินเท้าบุกไปพระราชวังตุยเลอรีในปี 1792 หรือเหตุการณ์ในเดือนมีนาคม 1871 ที่ประชาชนเข้าไปยึดปืนใหญ่ ซึ่งนำมาสู่การปฏิวัติ La Commune
นี่คือการปรากฏขึ้นของความเป็นไปได้ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นั่นคือ สาธารณรัฐ และการปกครองโดยชนชั้นกรรมาชีพ...คิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ๆ กล้าที่จะคิดถึงความเป็นไปได้ใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน กล้าที่จะฝันว่า สิ่งที่ไม่เคยคาดคิด สิ่งที่ไม่เคยพบเห็น ปรากฏขึ้นได้ "
ประเด็นน่าสนใจ ก็คือ ช่วงระยะหลัง นายปิยบุตร มีการฉายภาพความคิดเรื่อง "สาธารณรัฐ" และ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของฝรั่งเศสบ่อยครั้ง จนมาล่าสุดมีการเปรียบเทียบว่า สิิ่งไม่เคยคาดคิด อาจเกิดขึ้นได้
ทางด้าน รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว หัวข้อ ปิยบุตร ธนาธร พรรณิการ์ โดยระบุรายละเอียดว่า ผมเข้ารับราชการเป็นอาจารย์ประจำคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 และเกษียณอายุราชการเมื่อปี พ.ศ.2555
กว่าครึ่งเวลาของการรับราชการ ผมมีโอกาสเข้าไปทำงานในส่วนกลางของมหาวิทยาลัย เป็นผู้ช่วยอธิการบดีบ้าง รองอธิการบดีบ้าง หลายต่อหลายสมัย การทำงานส่วนกลางทำให้ได้รู้จักคุ้นเคยกับอาจารย์ในคณะต่างๆมากมาย แต่ผมไม่เคยรู้จักหรือพบหน้า อ.ปิยบุตรเลยแม้แต่ครั้งเดียว ได้แต่เคยได้ยินชื่อว่าอยู่ในกลุ่มคณะราษฎร์ แต่ผมรู้จักคุ้นเคยกับคณบดีคณะนิติศาสตร์ซึ่งเป็นต้นสังกัดของอ.ปิยบุตรเกือบทุกท่าน รวมทั้งท่านปัจจุบัน
แม้จะไม่เคยรู้จักอ.ปิยบุตร แต่ก็เคยได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับทัศนคติต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของอ.ปิยบุตรจากอาจารย์คณะนิติศาสตร์หลายท่าน อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ท่านหนึ่งเคยบอกกับผมว่าอ.ปิยบุตรเป็นคน “แรง” เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ความหมายคือเป็นคนที่ไม่เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันที่มีความสำคัญต่อประเทศชาติ ซึ่งนั่นก็คืออุดมการณ์ที่ไม่เคยเปลี่ยนของ อ.ปิยบุตร แสงกนกกุล
เช่นเดียวกัน คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ คุณธนาธรก็มีอุดมการณ์เดียวกัน ชัดเจนมากจากที่เคยให้สัมภาษณ์ไว้ใน Portrait ธนาธร ว่าต้องการได้ เสียงมากๆเพื่อต่อรองกับ....และต้องจัดการกับกองทัพและกับสถาบันตุลาการให้ได้ มิฉะนั้นจะทำ......อะไรก็ไม่ได้
คุณพรรณิการ์ วาณิช ก็เช่นกัน จะเห็นได้จากการที่ในอดีตเคย post รูปและข้อความใน face book ส่วนตัว หลายครั้ง ทำให้เชื่อได้ว่ามีอุดมการณ์ที่ไม่แตกต่างจากทั้งอ.ปิยบุตรและคุณธนาธรแต่อย่างใด
ทั้ง 3 คน เป็นผู้ร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ร่วมกันก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ขึ้น และเดี๋ยวนี้ แปลงกายมาเป็นคณะก้าวหน้า ก็ยังไม่มีอะไรบ่งชี้ว่าทั้ง 3 คน มีการเปลี่ยนแปลงอุดมการณ์แต่อย่างใด ทั้งนี้พรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรค nominee ของคุณธนาธร ก็คงต้องยึดมั่นในอุดมการณ์เดียวกัน ดังจะเห็นได้จากการที่สมาชิกพรรคก้าวไกลเกือบทุกคน
เมื่อครั้งพรรคอนาคตใหม่ยังไม่ถูกยุบ ต่างท้าทายพระราชอำนาจด้วยการโหวตคว่ำพระราชกำหนดการโอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วน จากกองทัพบกไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์ มีสมาชิกพรรคบางคนที่ไม่โหวตคว่ำ หรือบางคนงดออกเสียง ก็ถูกสมาชิกคนอื่นๆเหล่านั้นร่วมกันโหวตให้ขับออกจากพรรค
ไม่ทราบว่าผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคอนาคตใหม่-ก้าวไกล และผู้สนับสนุนทั้งหมด รวมทั้งผู้ที่ลงคะแนนเลือกผู้สมัครส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ตระหนักถึงความจริงข้อนี้หรือไม่ หากตระหนักอยู่แล้วหรือมีอุดมการณ์เดียวกันอยู่แล้วก็แล้วไป
หากท่านเป็นผู้ที่เชื่อว่าสถาบันพระมหากษัตริย์มีความสำคัญต่อประเทศชาติ แต่ไม่ตระหนักหรือไม่เชื่อว่าพรรคอนาคตใหม่ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกลล้วนมีอุดมการณ์ตรงข้ามกับความเชื่อของท่าน ก็โปรดตระหนักเสียและขอโปรดจงเชื่อเถิดว่าพวกเขามีอุดมการณ์เช่นนี้จริงๆ และควรถอยออกมามองคณะก้าวหน้า และพรรคก้าวไกล ด้วยใจเป็นธรรมและเป็นกลาง ก่อนจะถึงวันที่จะมีการเลือกตั้งครั้งต่อไป ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
ขณะที่ น.พ.วรงค์ เดชกิจวิกรม โพสต์แสดงความเห็น ในประเด็นใกล้เคียงกันว่า " เครือข่ายนายบูดสามตะกร้า นายบูดสามตะกร้า พยายามดึงความรู้สึกของคนไทย ย้อนอดีตไปถึง228 ปี คือปี1792 ของประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมันคนละบริบทของสังคมเลย
ประเทศไทยของเราอยู่ร่มเย็นเป็นสุข ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คนไทยมีความรักความสามัคคี แม้แต่ปัญหาโควิด-19 คนไทยก็ร่วมกันฟันฝ่าผ่านไปได้ ดีกว่าชาติตะวันตกที่นายบูดสามตะกร้าคลั่งไคล้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะเราพัฒนาประเทศ บนพื้นฐานของจุดแข็งของประเทศ นั่นคือเรามีวัฒนธรรม ประเพณี เรามีสถาบันพระมหากษัตริย์ เรามีศาสนาที่หลากหลาย เรามีวิถีแบบไทยๆซึ่งไม่เหมือนฝรั่ง ที่สำคัญเรามีความเอื้ออาธรตามแบบฉบับคนไทย แต่ขณะเดียวกัน เราก็สามารถทำประเทศให้ทันสมัยไม่แพ้ชาติใด
แต่การที่เขาสมคบคิดกับฝรั่งต่างชาติ เอาเมียที่เป็นชาวต่างชาติ มาจาบจ้วงประเทศไทย เพื่อมาสร้างความเกลียดชัง สร้างความปั่นป่วน ทำลายความสงบสุข โดยอาศัยความไม่รู้ของลูกหลานเป็นจุดอ่อน คนไทยเราถือว่าชักศึกเข้าบ้าน ท้ายที่สุดคนที่ไม่สำนึกในแผ่นดินเกิด ก็ไม่ควรที่จะอยู่ประเทศไทยต่อไป......ใช่ไหม??"
และท้ายสุดเพจเฟซบุ๊ค "ปราชญ์ สามสี" ได้ขึ้นข้อความพร้อมภาพประกอบว่า "ใครเอ่ยอยู่เดียวกันเวลาเดียวกัน ในร้านอาหารเดียวกัน สุดท้ายก็พวกเดียวกัน... ขบวนการล้มเจ้า สังเกตที่เสื้อ ปวิน ก็ชัดเจนนะครับ"