- 25 ก.ค. 2563
อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแหง่ชาติ ทนไม่ไหวเห็นเบื้องหลังแกนนำม็อบ ยุยงเปลี่ยนแปลงประเทศ ท้าตรงๆ ถึงเวลามายืนหน้าเด็กได้แล้ว
แม้ว่าจะประกาศตัวไม่ได้เป็นผู้อยู่เบื้องหลังม็อบปลดแอก ที่เคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ด้วยปฏิกริยาแสดงออกของกลุ่มแกนนำคณะก้าวหน้า และ ส.ส.พรรคก้าวไกล ย่อมอาจสะท้อนให้เห็นภาพชัดเจน ถึงสถานการณ์การขยายตัวของกลุ่มผู้ชุมนุม ที่เลยเถิดไปถึงสถาบันเบื้องสูง และการยั่วยุให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองออกมาใช้กำลังปราบปรามนักศึกษา เหมือนกรณีเหตุในฮ่องกง และอดีตประวัติศาสต์การเมืองไทย
ล่าสุด นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแหง่ชาติ ได้โพสต์ความเห็นถึงสถานการณ์การเมือง ผ่านการชุมนุมของกลุ่มนักศึกษาอีกครั้ง มีใจความสำคัญหัวข้อว่า "จะปฏิวัติ :ก็ออกมาถือธงนำ"
"ท่านอาจารย์ใหญ่นักปฏิวัติจบฝรั่งเศส เขียนเฟสว่า การปฏิวัติจะเกิดขึ้นได้ต้องมีสองสิ่ง คือ มีความแค้นกับมีความหวัง หากมีสองสิ่งนี้ จะเป็นแรงผลักดันนำไปสู่การปฏิวัติ อ่านจบก็เกิดคำถาม ใครจะแค้นก็ทำไป แต่ไม่ใช่จะทำใครได้ฝ่ายเดียว คนอีกฝ่ายที่มีอารมณ์แค้นกลับ ตอบโต้แรงกว่า อะไรจะเกิดขึ้น หากต้องนองเลือด เลือดใครสิไหลริน
เอาแล้ว! "ปิยบุตร" ส่งสัญญาณห้วงเวลาปฏิวัติต้องอาศัยความโกรธแค้นและความหวัง ในหลายประเทศ ที่มีอาจารย์อย่างนี้ มีกลุ่มคน มีนักการเมืองที่คลั่งลัทธิความเชื่อแบบตะวันตกว่าดีเลิศ ออกมาคัดค้าน ต่อต้านประเทศตัวเอง ว่า เป็นรัฐบาลเผด็จการ ไม่เป็นประชาธิปไตย หลงเชื่อตามฝรั่ง ประชาธิปไตยต้องแบบนี้เท่านั้น
ผลสุดท้าย เกิดสงครามกลางเมือง ผู้คนล้มตาย บ้านแตกสาแหรกขาด มหาอำนาจตะวันตกเอากองกำลังเข้าช่วยร่วมรบ สุดท้ายไปไม่รอด คนในชาติต่อต้าน แต่ผู้คนต้องอพยพหนีตายออกนอกประเทศ ไปเป็นพลเมืองชั้นสี่ในต่างประเทศ แต่ไอ้พวกผู้นำ หลบอยู่ในต่างประเทศเสวยสุข สบายใจเฉิบ เสื้อแดงเมื่อปี 52-53 และ ปี 56-57 มวลชนเยอะกว่านี้ ผู้นำเด็ดเดี่ยวและนำคนได้เก่งกว่านี้ ยังไม่รอด
ผู้นำตะวันตกปล่อยคนในชาติติดเชื้อโควิดเป็นล้านคน ตายเรือนแสน ที่ว่านี้ระดับยักษ์ใหญ่ทั้งนั้น ตรงข้าม ลุงตู่ที่ถูกจิกด่า ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศมากกว่า 50 วัน ประชาธิปไตยปล่อยคนให้ตาย เผด็จการป้องกันคนไม่ให้ติดเชื้อ
อย่าเที่ยวยุเด็กเยาวชนให้ออกไปตาย แต่แกนนำหลบอยู่หลังเด็ก แน่จริงออกมานำ ประกาศเลยว่า แค้นอะไรที่ต้องชำระ และมีความหวังอยากทำอะไรให้สำเร็จ เยาวชนอย่าหลงเชื่อคำยุยงของ คนชื่ออาจารย์ เกาะตำราเห่อฝรั่ง ไม่ลืมตาดูบริบทของสังคมไทย"
ก่อนหน้านั้น นายปิยบุตร แสงกนกกุล แกนนำคณะก้าวหน้า และ อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เลือกจะโพสต์ข้อความแสดงความเห็น ต่อการชุมนุมทางการเมืองของกลุ่มเยาวชนปลดแอก ใจวามสำคัญตอนหนึ่ง ระบุว่า ห้วงเวลาปฏิวัติ - Revolutionary Moment การปฏิวัติจะบังเกิดได้ในห้วงเวลาประวัติศาสตร์ที่ประชาชนจำนวนมหาศาลเกิดความรู้สึกนึกคิดร่วมกันในสองมิติ ได้แก่ มิติแห่งความโกรธแค้น และมิติแห่งความหวัง
ประชาชนคับแค้นใจกับสิ่งที่ดำรงอยู่ พร้อมกับมีความหวังร่วมกันในการไปก่อตั้งสิ่งใหม่ ทั้งสองความรู้สึกนึกคิดนี้ผสานหลอมรวมกันในความคิดจิตใจของประชาชน จนผลักดันให้ร่วมกันออกไปกระทำการ สิ่งนั้น คือ “ปฏิวัติ” หากไม่โกรธแค้น ก็จะไม่ทำลายสิ่งที่เป็นอยู่ หากไม่มีความหวัง ก็จะไม่สรรค์สร้างสิ่งใหม่เข้าแทนที่ หากไม่โกรธแค้น ก็จะเฝ้าแต่อดทนรอเวลา ฝันล้มๆแล้งๆว่า สิ่งใหม่จะมาตามกาลเวลา หากไม่มีความหวัง ก็จะมุ่งแต่ทำลายล้างโดยไม่เตรียมการสร้างสิ่งใหม่
การปฏิวัติจึงจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยจากความโกรธแค้นและความหวัง มันจึงเป็นเหรียญเดียวกันที่มีสองหน้า หน้าหนึ่ง การทำลายล้างสิ่งที่เป็นอยู่ให้พังภินท์ อีกหน้าหนึ่ง การก่อตั้งสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมเข้าแทนที่
Evolution หรือที่ในภาษาไทยแปลว่า “วิวัฒนาการ” ซึ่งพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายไว้ว่า “กระบวนการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อไปสู่สภาวะที่ดีขึ้นหรือเจริญขึ้น" พัฒนาการเกิดขึ้นอย่างช้าๆนี้ไม่สามารถตอบสนองต่อห้วงเวลาทางประวัติศาสตร์ที่ประชาชนเกิดความรู้สึกร่วมกันว่า “ไม่ทนกับสิ่งที่เป็นอยู่” และ “ปรารถนาสร้างสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิม”
ท่ามกลางโพสต์ข้อความที่สื่อเชื่อมโยงกับแนวคิดการเมืองในต่างประเทศ ในลักษณะของการเร่งเร้าให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เหมือนหลายครั้งหยิบยกรูปแบบการปกครองในฝรั่งเศสมานำเสนอ
ขณะที่ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อีกหนึ่งแกนนำคณะก้าวหน้า ให้ความเห็นว่า "สิ่งสำคัญอยู่ที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ที่กำลังเป็นระเบิดเวลา ถ้ายังไม่แก้ไข ไม่ยอมรับความจริง อาจจะเกิดสิ่งที่ทุกคนไม่อยากเห็น คือ ความรุนแรง วิธีหลีกเลี่ยงมีเพียงวิธีเดียว คือ การกลับเข้ามาหาข้อตกลงร่วมกันใหม่ในการอยู่ร่วมกันในสังคม โดยที่ทุกฝ่ายยอมรับ ส่วนเรื่องแพ้ชนะให้ไปคุยในสภา"
ทั้งหมดเกิดขึ้นในช่วงเดียวกับการที่ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ไปกล่าวระหว่างการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ว่า อยากให้มองการชุมนุมด้วยแว่นมนุษยธรรม ข้อเรียกร้องของนักศึกษามี 3 ข้อ หนึ่งในนั้นคือเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่มีความจำเป็น และเข้มแข็งมาก แต่เราต้องยอมรับว่ารัฐธรรมนูญนี้เป็นระบบที่ถูกสร้างมาโดยไม้ใกล้ฝั่ง สภาที่ร่างรัฐธรรมนูญอายุรวมกันเกินพันปี นิสิตนักศึกษาคนรุ่นใหม่ไม่มีส่วนร่วมเลย เราจึงต้องกลับมาทบทวนว่าถึงเวลาแล้วหรือไม่ ที่ต้องร่างรัฐธรรมนูญใหม่ปลดปล่อยโซ่ตรวจเผด็จการ ให้คนรุ่นใหม่ได้สูดอากาศหายใจในแบบที่เขาต้องการ รัฐธรรรมนูญฉบับนี้เป็นเครื่องสนองความกระหายอำนาจตั้งแต่ปี 2557 ส่วนข้อเสนอประเภทที่ให้ตั้งคณะกมธ.รับฟังความเห็นนั้น เป็นข้อเสนอที่ไม่ตรงตามสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เหมือนเป็นการประวิงเวลา เอาความรู้สึกของคนที่กำลังโกรธแค้นไปขังเอาไว้
"ขอฝากไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ว่าบาปกรรมทั้งหลายที่ท่านได้ก่อขึ้น วันนี้ประชาชนกำลังทวงถาม นายกฯ จะต้องไม่โยนบาปให้สภา ท่านต้องอธิบายกับนิสิต นักศึกษา และหากนายกฯ ยังปฏิบัติเช่นเดิม ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่คุกเข่าอ่อนวอน ยังพูดจาไม่ดี ประพฤติชั่วเหมือนแต่ก่อน ตนขอเรียนนายกฯ ว่า winter is coming"