- 08 มิ.ย. 2563
แม่ค้าหอยโผล่ให้การพลิกคดีโอละพ่อ อ้างไม่มีตร.พัทลุงรีดไถตามที่เป็นข่าว
กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในโลกโซเชียล จากกรณี แม่ค้าขายอาหารทะเลสด ร้องขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวลชน ว่าถูกเจ้าหน้าที่สังกัด สภ.เมืองพัทลุง ควบคุมตัวฐานกระทำความผิดฝ่าฝืนมาตรการเคอร์ฟิว เหตุเกิดพื้นที่ อ.เมือง จ.พัทลุง เมื่อคืนวันที่ 2 มิ.ย.63 ที่ผ่านมา ก่อนจะมีการเรียกจำนวน 80,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว แต่สุดท้ายต่อรองลดลงมาเหลือ 10,000 บาท พร้อมกับมีการยึดอาหารทะเลไว้เป็นของกลางกินแกล้มเหล้า กระทั่งมีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย พร้อม ๆ กับมีคลิปเสียงของแม่ค้าในลักษณะพลิกคำให้การ เพราะได้รับการประสานงานเกลี่ยไกล่จากเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุม
( คลิกอ่านข่าวประกอบ : เปิดคลิปพิสูจน์ แม่ค้าหอยพัทลุงพลิกลิ้นคดีรีดเงิน ไอ้โม่งสีกากีสั่งหลบ จนเสร็จเรื่องฉาว )
ล่าสุด พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี ผบก.ภ.จว.พัทลุง ได้มีการเปิดให้สื่อมวลชนได้ซักถามแม่ค้ารายดังกล่าว ในระหว่างเดินทางมาให้ปากคำกับคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ที่มี พ.ต.อ.สุชาติ สอิด รอง ผบก.ภ.จว.พัทลุง และ พ.ต.อ.วราชาติ รสจันทร์ รอง ผบก.ภ.จว.พัทลุง เป็นผู้รับผิดชอบดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 7 วัน
โดยปรากฎว่า นาง ส. ที่เป็นผู้ค้าอาหารทะเล เปลี่ยนคำอธิบายเหตุการณ์ที่เล่าให้กับสื่อมวลชนพัทลุงในตอนแรกอย่างสิ้นเชิง โดยตอบคำถามเรื่องการถูกรีดเงินจากเจ้าหน้าที่ตำวจ สภ.เมืองพัทลุง ว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด เริ่มต้นจากการที่เดินทางมาเจอด่านตรวจเคอร์ฟิวจริง ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจจะนำตนมายัง สภ.เมืองพัทลุง แล้วมีเพียงการขอหลักฐานการขนส่งสินค้า พร้อมย้ำกับสื่อมวลชนว่า ในขณะนั้นไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ เรียกเงินตนตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
ขณะที่เมื่อสื่อมวลชนซักถาม เรื่องสลิปที่โอนเงินที่มีชื่อปรากฎว่าเป็น ด.ต.ไชยยา ชูศรีเพชร ผบ.หมู่(สืบสวน) สภ.เมืองพัทลุง นาง ส. อ้างว่า เป็นเงินที่ตนยืมมา ตั้งแต่เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมา เนื่องจากตนไม่มีเงินสดพอ ที่จะนำไปจ่ายค่าปรับที่ศาลในคดีอาญา ส่วนสาเหตุที่เลือกยืมเงินจาก ด.ต.ไชยยา เพราะก่อนหน้าที่ตนจะมีสามีคนปัจจุบัน ตนเคยคบหากับ ด.ต.ไชยามาก่อน โดยที่สามีไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
"ส่วนสาเหตุที่เป็นข่าวใหญ่โต ก็เพราะแฟนได้มาขอเงินจำนวน 10,000 บาท เพื่อไปผ่อนรถ แต่ตนได้บอกไปว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจเอาเงินไปแล้ว ตั้งแต่ช่วงถูกจับฝ่าเคอร์ฟิว เลยทำให้แฟนโกรธอย่างมาก แล้วไปเล่าเรื่องนี้ให้กับสื่อมวลชนฟัง จนกลายเป็นประเด็นอย่างที่ทราบ และเข้าใจว่าตนเป็นผู้ร้องเรียนเรื่องการถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจรีดเงิน"
ท้้งนี้เจ้าของเพจเฟซบุ๊ค "ไสว รุยันต์" สื่อมวลชนประจำจังหวัดพัทลุง หลังจากได้ยินคำให้การในลักษณะพลิกคำพูดของนาง ส. ได้โพสต์ข้อความว่า "ดูตามภาพ วิจารณ์ตามที่เห็น สงสัยทำไมต้องมาโอนเงินหลังเที่ยง ผู้การพัทลุง ระดับมือสอบสวน สอบได้เท่านี้ นับถือครับ"
หลังจากที่สะท้อนความรู้สึกของการทำหน้าที่สื่อมวลชนในการต่อสู้เพื่อความยุติธรรม แต่ต้องมาเจอเรื่องราวแบนี้ ว่า "สุดท้ายผลออกมา นักข่าวเป็นแพะ ... สังคมช่วยตัดสินด้วยนะ... ว่าสังคมคนถือกฏหมายเป็นอย่างไร เสือไม่กินเนื้อเสือมันเป็นเรื่องปกติไปแล้วรึเมืองลุง.."
จากนั้น " ไสว รุยันต์" ได้โพสต์การตัดสินใจสิ่งที่ต้องดำเนินการกับแม่ค้าคนดังกล่าว "จริงๆทำงานผมไม่เคยมีอคติกับงาน แต่การทำงานในครั้งนี้ มันมีอคติกับความไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมกับสังคม อำนาจคนถือกฎหมาย แต่ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกัน ผิดถูกผมไม่เคยคิดชี้นำ อาชีพคนข่าว กลไกเล็กๆที่อยากให้สังคมมีความเป็นธรรม และปกป้องสุจริตชน ตลอดหลายวันที่เดินข่าวแม่ค้าหอย มันทำให้ความคิดเริ่มมีอคติ กับความไม่เป็นจริง แม่ค้าหอยลิ้นสองแฉก ยากที่จะแบกภาระให้กับสังคม ....พรุ่งนี้ ( 9 มิ.ย.) ที่โรงพักเมืองพัทลุง คงต้องหอบหลักฐานทั้งหมดที่มี แจ้งความแม่ค้าหอยเน่า ลิ้นสองแฉก เพื่อเป็นบรรทัดฐาน ....ของคนทำข่าว..แล้วพบกันครับ...ขอทำหน้าที่เกินสื่อชักวันครับ"
ทางด้าน พล.ต.ต.กฤษฎา กล่าวตอนท้ายว่า จากข้อมูลในคดีดังกล่าวต้องขอเวลาให้คณะกรรมการชุดสืบสวนข้อเท็จจริง ได้ทำงานสอบสวนสืบสวนอย่างครบถ้วนทุกด้านก่อน โดยตอนนี้ได้มีการติดตามผู้ที่อ้างว่าตกเป็นผู้เสียหายมาสอบข้อมูลแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจเองต้องฟังหลักฐานอย่างอื่นประกอบด้วย เช่น พยานหลักฐานและเอกสารที่ผู้สื่อข่าวนำเสนอ รวมถึงผู้เกี่ยวข้องกับคดีนี้ทุกปาก โดยตนจะทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ได้ความกระจ่างแก่สังคม
"สำหรับสารวัตร ยศ พ.ต.ท. หัวหน้าชุด ตนได้สั่งย้ายไปอยู่ฝ่ายอำนวยการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง เพื่อไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับพยานบุคคล พยานเอกสาร ในการช่วยเหลือตัวเองและพรรคพวก ขอให้พี่น้องประชาชนและผู้สื่อข่าวมั่นใจได้ แต่ถ้ามีพยานหลักฐานที่เข้าไปเกี่ยวข้อง มีส่วนได้เสีย ก็ไม่ต้องห่วง ตนจะดำเนินการขั้นเด็ดขาดอย่างแน่นอน ทั้งนี้เนื่องจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และท่านผู้บัญชาการตำรวจภาค 9 มีการกำชับและติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง กรณีนี้ตนและเจ้าหน้าที่คณะกรรมการชุดสืบสวนข้อเท็จจริง ทำงานอย่างตรงไปตรงมาอยู่แล้ว"