ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

หลังการรัฐประหารปี 2549 ทำให้อดีตนายกรัฐมนตรี นายทักษิณ มีอันต้องเป็นไปทางการเมือง จนระหกระเหินเร่ร่อน ไปกบดานอยู่ที่แดนไกล ทั้งนี้ ด้วยไฟแค้นที่ลุกโชนอย่างไม่มีวันมอดดับ ทำให้พฤติการณ์เคลื่อนไหวของเขายังคงแฝงนัยตรงไปยังขั้วตรงข้ามอยู่หลายครา บ่อยครั้งที่เป็นการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและลิ่วล้อผู้จงรักภักดี ที่ดูประหนึ่งว่ามีการพยายามกรุยทางให้นายใหญ่ที่พวกเขาเทิดทูน ได้กลับสู่มาตุภูมิ หรือ บ้านเกิดอีกครั้ง

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

 

เฉกเช่นเดียวกับกรณี.....เมื่อวันที่ 6 มกราคม  "นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์" อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ พร้อมผู้บริหารพรรคเดินทางไปที่หอประชุมเทศบาลตำบลวงฆ้อง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก เพื่อเปิดสถาบันพัฒนาการเมืองพิษณุโลกของพรรค โดยมี "นายยงยุทธ ติยะไพรัช" อดีตประธานรัฐสภา และ "นายจตุพร พรหมพันธุ์" พร้อมแกนนำ น.ป.ช.ส่วนหนึ่ง มาร่วมเป็นกำลังใจ รวมทั้งปราศรัยให้ความรู้เรื่องการเมืองและการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น

 

โดยนายยงยุทธกล่าวว่า “วันนี้ตนมาให้กำลังใจ ด้วยเห็นว่าประชาชนมีความเชื่อมั่นในหลักการที่ว่าทำอย่างไรให้บ้านเมืองสามัคคีกัน และเป้าหมายในวันนี้คือให้ความรู้กับประชาชนเรื่องการเมืองการเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งในครั้งมีรูปแบบที่ต่างจากเดิม ซึ่งประชาชนและทางพรรคก็ต่างคาดหวังว่า จะเป็นการเลือกตั้งที่ บริสุทธิ์ยุติธรรม ประชาชนกำหนดอนาคตของตัวเองอย่างแท้จริง ด้วยเพราะ 10 ปีที่ผ่านมาพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง ไม่สามารถปกครองได้ บ้านเมืองลุ่มๆ ดอนๆ ทำให้ประเทศเสียโอกาส พรรคเพื่อชาติประกาศว่าเป็นเกาะกลางที่สามารถ พูดคุย อยู่ร่วมกันได้

 

แต่อีกประเด็นหนึ่งสำคัญที่สร้างแรงกระเพื่อมทางการเมืองและทำให้สังคมต่างต้องจับตามอง คือคำกล่าวตอนหนึ่งของ"นายยงยุทธ" ที่กล่าวว่า "เราได้พยายามให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับมาประเทศไทย 3 ครั้งแล้วแต่ไม่สำเร็จ จึงขอโอกาสครั้งนี้ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่ 4 หากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อชาติ ที่สำคัญจุดอ่อนที่สำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ เป็นรัฐธรรมนูญที่ถอยหลังเข้าคลอง โดยเฉพาะที่มาและอำนาจของ ส.ว. ทำให้พรรคการเมืองไม่มีความมั่นคง และทำลายขีดความสามารถของคนไทย

 

เช่น คนๆ หนึ่งแสดงความคิดเห็นที่ดี แล้วมีพรรคการเมือง นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ก็จะถูกตีความว่าเป็นบุคคลภายนอกชี้นำพรรค อาจถูกยุบพรรคได้ ทำให้คนเก่ง คนดีขาดโอกาส" แต่ในเวลาต่อมาทางพรรคฯออกมาแถลง คล้ายว่าเป็นการเบี่ยงประเด็น โดยใจความระบุว่า " ทางพรรคขอยืนยันถึงเรื่องที่นายยงยุทธพูด ว่าไม่ได้เจาะจงหมายถึงการช่วยเหลืออดีตนายกฯ คุณทักษิณ กลับไทย แต่พรรคมีนโยบายช่วยเหลือประชาชนทุกคนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรม ซึ่งคุณทักษิณเอง ก็เป็นหนึ่งนั้น และขอยืนยันว่าที่กล่าวเป็นเพียงบรรยากาศ มิได้เป็นหลักปฏิบัติเชิงนโยบายแต่อย่างใด"

 

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 7 มกราคม "นายยงยุทธ ติยะไพรัช" ในฐานะกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ โพสต์เฟซบุ๊กเกี่ยวกับประเด็นการพานายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับบ้าน ว่า "สวัสดีครับพี่น้อง กับประเด็นการจะกลับบ้านของ ดร.ทักษิณ ชินวัตร ก็ต้องให้มีกระบวนการร้องขอความเป็นธรรม ซึ่งคนทั่วไปทำกันอยู่แล้ว เช่นทบทวนการได้มาซึ่งพยานหลักฐาน เพราะคนสอบเป็นคนอยู่ฝั่งตรงข้ามหมด คนสั่งการก็ยึดอำนาจเขามา จะบอกว่า ดร.ทักษิณ เป็นคนดีได้ยังไง ก็ต้องบอกว่าเลว”

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!


 

 "แต่วันนี้เรื่องเลวหลายเรื่อง เป็นประโยชน์ ต่อบ้านเมือง เช่น ปล่อยเงินกู้เมียนมาร์ เขาคืนให้เรามาหมดแล้วการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้านเป็นเรื่องที่ดี เราย้ายประเทศหนีกันไม่ได้ และยังมีเรื่องอื่นๆ นะครับ เช่น กระบวนการทางศาลยังต้องถามพยานทุกครั้ง ว่ามีเรื่องขัดแย้งกันมาก่อนหรือไม่ หรือ ผู้สอบวางตัวไม่เป็นกลางในกระบวนการสอบสวนยังขอเปลี่ยนตัวได้ ผมว่าคุยกันดีๆ ระหว่างพี่น้องเตรียมทหารด้วยกัน หากกลัว ดร .ทักษิณ จะกลับมามีอำนาจ ก็คุยกันด้วยเหตุผลโดยเอาเรื่องบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง ยังง่ายกว่าการสร้างรัฐธรรมนูญและแก้กฎหมายเลือกตั้ง"

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

 

"ทุกวันนี้ทุกฝ่ายที่มีอำนาจเพื่อไม่ให้ระบอบทักษิณกลับมา เราสูญเสียและถึงกับต้องแลกกับ ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงและเป็นสากล เชื่อไหมครับช่วงปี 2549 ดร.ทักษิณ ประชุมที่UN โดนบิ๊กบังยึดอำนาจ เลขาUN ถามว่าจะประณาม ตอบโต้ไหม ดร ทักษิณ ปฏิเสธ และบอกว่าแค่นี้บ้านเมืองก็บอบช้ำพอแล้ว แสดงให้เห็นว่าความรักบ้านเมือง สปิริตยังมีอยู่ ทำไมผมรู้ก็เพราะว่าผมก็ถูกขังเกือบครึ่งเดือน บ้านก็โดนทุบ ครอบครัวแตกเป็นเสี่ยงๆ เหล่านี้มีหลักฐานและภาพประกอบชัดเจน ไปดูในยูทุปได้ครับ ซึ่งเหล่านี้ผมครับ ผมเข้าใจว่าลูกพี่สั่งมาเราไม่โกรธกันเพราะรู้อยู่ว่าใครสั่ง"

 

"สำหรับเรื่องปราศรัยที่พิษณุโลก ผมได้รับเชิญไปพูดเรื่องการเมืองในฐานะวิทยากร ผมก็บอกไปตามความเป็นจริงว่า หน้าเลือกตั้งก็อ้างเอา ดร ทักษิณ กลับ 3 ครั้งแล้ว ผมเชื่อว่าการเป็นรัฐบาลไม่สามารถคืนความเป็นธรรมให้กับใครได้ ตราบที่สังคมยังแบ่งเป็นฝักฝ่าย ด่าคนนั่นชั่ว คนนี้เลว ลืมนึกถึงตัวเองและพวก ผมว่าคุยกันดีๆยังจะสร้างความสุขให้ประเทศของเราได้มากกว่าครับ การเปิดโต๊ะพูดคุยกับ ดร ทักษิณ นั่นแหละ คือการแก้ปัญหาที่จะยั่งยืนและตรงจุด เหตุเกิดที่ไหนก็แก้ที่นั่นครับ"

 

อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปดูถึง พฤติกรรมของ "นายทักษิณ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ปัจจุบันเป็นนักโทษหนีคดีอยู่ต่างแดน ที่ยังไม่ยอมปล่อยวาง และไม่ยอมรับความเป็นจริง” ที่ว่า "นายทักษิณ" ไม่มีวันจะกลับมาเหยียบผืนแผ่นดินไทยได้ ตราบใดที่เขายังไม่ยอมรับการตรวจสอบของกระบวนการยุติธรรมไทย... 

 

ทั้งนี้ นายทักษิณที่ต้องระหกระเหินตีจากประเทศไทยไปนานหลายปี แต่ทว่า..ยังไม่สามารถก้าวข้าม "ประเทศไทย" ไปได้อีกเสียด้วย เขายังคงทำตัวร่อนเร่เสมือนผีไม่มีเจ้า คอยป้วนเปี้ยน วนไปเวียนมาอยู่รอบๆ ประเทศไทย นอกจากนี้ เขายังมีพฤติกรรมที่ ชอบออกมาพูดจายุโยงปลุกระดม เพื่อทำให้คนไทยเกิดความแตกแยก หนำซ้ำ ยังพูดจาให้ร้ายขั้วอำนาจฝั่งตรงข้ามเสมอมา

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

เมื่อต้นเดือนสิงหาคม 61 ที่ผ่านมา "นายทักษิณ"  ได้ออกมาสร้างวาทกรรม ที่ว่า "สงครามยังไม่จบ"... "เวลานี้สงครามยังไม่จบ ยืนยันว่าจะสู้ต่อไป และจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด เพราะอยากเห็นคนไทยกลับมากอบกู้ศักดิ์ศรี หลังจากถูกคนถือปืนมากดขี่ ซึ่งเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ ดังนั้นจะต้องสู้กันต่อ และตราบใดที่ยังสู้อยู่ ก็ไม่มีทางแพ้ เมื่อสงครามยังไม่จบ ไม่ว่าจะต้องสู้กันกี่ยก ก็ต้องสู้กันต่อไป และเมื่อถึงวันเลือกตั้งเมื่อไร ประชาชนก็จะเป็นคนช่วยตัดสินเรื่องนี้ ..."

 

นี่คือคำพูด ของนายทักษิณ เพื่อใช้ปลุกขวัญ อดีต สส.พรรคเพื่อไทย หลายสิบคน ที่แห่กันไปที่เกาะฮ่องกง เพื่ออวยพรวันเกิด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 61 ที่ผ่านมา โดยมีรายงานข่าวว่า หลังจากแวะกิน แวะเที่ยว และที่ขาดไม่ได้คงจะเป็นการพูดจาเหน็บประเทศไทย นอกจากนี้ล่าสุด ยังมีรายงานเพิ่มเติมว่า จุดหมายปลายทางต่อไปของ "นายทักษิณ" รวมทั้งน้องสาวสุดที่รักอย่าง "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" คือการเดินทางต่อไปยังที่ประเทศจีน โดยจะใช้เวลาอยู่ที่ประเทศจีนประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะเร่ร่อนไปยังประเทศอื่นต่อไป...

 

หากพิจารณาถึงสาเหตุที่นายทักษิณ ต้องหนีออกนอกประเทศ ภายหลังจากการรัฐประหารปี49 ด้วยเหตุอันไม่ชอบธรรมทั้งการทุจริต และการเอื้อประโยชน์ให้ครอบครัวของเขาเองต่างๆนาๆ อยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นเวลาถึง 1ปี 5เดือน จนกระทั่งเกิดการเลือกตั้งปี50 พรรคพลังประชะชาชน ชนะการเลือกตั้ง โดยมี "นาย สมัคร สุนทรเวช "เป็นนายกรัฐมนตรีหุ่นเชิดตั้งรัฐบาลนอมินีของทักษิณ โดยเปิดโอกาสให้นายทักษิณได้กลับไปประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง เมื่อย้อนกลับไป วันที่ 28 ก.พ. 2551 นายทักษิณได้เดินทางกลับมาประเทศไทยเพื่อรับทราบข้อกล่าวหารวมถึงทำกระบวนการต่างๆตามกระบวนการทางกฏหมาย

 

จากนั้นได้เดินออกจากอาคารสนามบินสุวรรณภูมิทักทายเครือญาติตระกูลชิน รวมถึง ร.ต.อ เฉลิม อยู่บำรุง และอดีตแกนนำพรรคไทยรักไทย รัฐมนตรี และ ส.ส. ที่มายืนรอต้อนรับ พร้อมกับสร้างปรากฏการณ์ที่ทำให้มวลชนผู้ภักดิ์ดีทั้งหลายถึงกับซาบซึ้งออกอาการน้ำหูน้ำตาไหล เมื่อนายทักษิณก้มกราบพื้นดินและไหว้พร้อมโบกมือให้กับประชาชนที่เดินทางมาต้อนรับขณะที่มีเสียงโห่ร้องและเชียร์ให้กำลังใจดังกึกก้อง แต่หลายคนตั้งข้อสังเกตุว่าทำไม"นายทักษิณ" ถึงต้องมาก้มกราบแผ่นดินตรงหน้ากล้อง ทำไมไม่ก้มกราบตั้งแต่วินาทีแรกที่ก้าวท้าวเหยียบพื้น? 

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

 

จากนั้นได้เข้ามอบตัวที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีตกเป็นจำเลยในคดีทุจริตจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ร่วมกับคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา ซึ่งศาลอนุมัติให้ประกันตัว ระหว่างนั้นทั้ง 2 คน ได้ขออนุญาตศาลฎีกาฯ เดินทางออกนอกประเทศ โดยให้เหตุผลเดินทางไปปฏิบัติภารกิจประเทศจีนและญี่ปุ่น โดยระบุวันเดินทางระหว่างวันที่ 31 กรกฎาคม - 10 สิงหาคม 2551 ในรายละเอียดคุณหญิงพจมาน ให้เหตุผลขอเดินทางไปร่วมพิธีเปิดงานกีฬาโอลิมปิก ที่ประเทศจีน ระหว่างในวันที่ 5-10 สิงหาคม 2551

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!

 

และเมื่อถึงวันนัดให้ไปรายงานตัวต่อศาลวันที่ 11 สิงหาคม 2551 ทั้งสองคน ไม่มารายงานตัวต่อศาล แต่ไปปรากฎตัวที่ประเทศลอนดอนพร้อมครอบครัว วันที่ 21 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง อ่านคำพิพากษาลับหลัง ตัดสินให้จำคุกนายทักษิณ 2 ปี ส่วนคุณหญิงพจมาน ยกฟ้อง รวมระยะเวลาที่นายทักษินหนีคดีจนถึงปัจุบันคือ 11 ปี

 

สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของนายทักษิณ ที่รู้อยู่แก่ใจถึงความผิดที่ตัวเองนั้นก่อขึ้นจนอาจต้องติดคุกติดตาราง หรือไม่? จึงได้มีการวางแผนเตรียมการหาทางหนีทีไล่ไว้ก่อนล่วงหน้าเพียงไม่กี่วันก่อนคำตัดสิน อย่างไรก็ตาม หากว่าไปแล้ว  คนทั้งประเทศไม่มีใครไล่นายทักษิณและตระกูลออกจากบ้านเกิดเมืองนอนของเขาแต่อย่างใด จะมีก็แต่พวกของเขาเองเท่านั้นที่จงใจแห่หนีกันออกไปเองโดยไม่สนใจกระบวนการยุติธรรมของไทย หนำซ้ำยังพูดจาใส่ร้ายประเทศ คอยยุโยงปลุกปั่น ในทางกลับกันมีแต่จะบอกให้กลับมาก้มน้ำยอมรับชะตากรรมที่ตนเคยก่อไว้ อย่าหลบหนีเหมือนผีไม่มีเจ้า ที่คอยเสี้ยมอยู่เบื้องหลังเลย เสนอหน้าออกมาชดใช้กรรมเสียยังจะดีกว่า คดีเปื้อนยังรอสะสางอยู่ ... 

 

ชำแหละเหลี่ยมทักษิณ โยนหินกลับไทย รู้อยู่แก่ใจ ไม่มีใครไล่ หนีไปเอง!