พนักงาน! โห่ไล่คน "ชินวัตร" หลัง "ไอแบงก์" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

พนักงาน! โห่ไล่คน "ชินวัตร" หลัง "ไอแบงก์" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

หนึ่งในองค์กรทางการเงินของไทยที่เกิดขึ้นแล้วประสบปัญหาการขาดทุนอย่างหนักหลายปีต่อเนื่อง ถึงขั้นแทบต้องปิดกิจการ  ก็คือ  ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์   ทั้ง ๆ ที่  ไอแบงก์   เป็นสถาบันการเงินที่มีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อรองรับการให้บริการเพื่อชาวมุสลิม  และเกิดขึ้นภายใต้ พ.ร.บ.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2545 โดยการกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง  ด้วยตัวเลขทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท  เนื่องด้วยสภาพการทำงานที่มีแต่ความขัดแย้งและการแทรกแซงทางการเมืองมาโดยตลอด  กระทั่งล่าสุดเพิ่งจะมีข่าวใหญ่จากผู้บริหารว่า ไอแบงก์พลิกฟื้นธุรกิจกลับมามีผลประกอบการเป็นกำไรครั้งแรก

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

 


โดยทางด้าน  นายวุฒิชัย สุระรัตน์ชัย ผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์  เป็นผู้ให้ข้อมูลว่า  เมื่อวันที่ 17 ม.ค. 2562  ที่ผ่านมา  ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ  หรือ คนร. ได้พิจารณาเห็นชอบให้ไอแบงก์พ้นจากแผนฟื้นฟู   เนื่องจากฐานะทางการเงินปัจจุบันของไอแบงก์   มีความแข็งแกร่งในระดับสำคัญจากการเพิ่มทุนในช่วงปลายปี 2561  และปรากฎว่าในปี 2561 ที่ผ่านมา  ไอแบงก์มีผลประกอบการเป็นยอดกำไรสูงกว่าแผนงาน  ถึงแม้ว่าหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ  NPF (Non Performing Finance) จะยังคงสูงกว่าแผนเล็กน้อย  แต่ก็ถือเป็นผลประกอบการที่มีกำไรครั้งแรกของธนาคาร  หลังจากต้องประสบปัญหาการขาดทุนในช่วง 4 ปี ที่ผ่านมา

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

 

    ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไอแบงก์  มีการพัฒนากระบวนการและระบบงานเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และการกำกับดูแล  ซึ่งช่วยสนับสนุนในการสร้างความยั่งยืนทางการเงิน สู่การเติบโตของธนาคารในอนาคตอย่างต่อเนื่อง  ดังนั้นที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1/2562   จึงมีมติให้ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย หรือ ไอแบงก์  ออกจากแผนฟื้นฟูและออกจากกลุ่มรัฐวิสาหกิจที่ต้องจัดทำแผนการแก้ไขปัญหาองค์กร โดยมอบหมายให้ทางกระทรวงการคลังเป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของธนาคารตามปกติต่อไป


โดยจากนี้ ไอแบงก์ ก็จะมุ่งเน้นการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน  ด้วยการยกระดับบริการทางการเงิน  เพื่อสร้างความทัดเทียมในการให้บริการทางการเงินและเพิ่มความสะดวกสบาย โดยยังคงให้ความสำคัญ และยึดมั่นในพันธกิจในการให้บริการลูกค้ามุสลิม  รวมทั้งพัฒนาบริการใหม่ๆ อย่าง Mobile Banking เพื่อตอบโจทย์การเปลี่ยนแปลงของการใช้ชีวิตในปัจจุบัน และสนองความต้องการของลูกค้า


"สำหรับปัจจุบัน ไอแบงก์  มีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ เบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท ( สิ้นสุด  ณ  วันที่ 31 ธ.ค. 2561)   หลังจากที่ธนาคารได้รับการเพิ่มทุนจำนวน 18,100 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย เมื่อช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา  ส่งผลทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ โดยกระทรวงการคลัง มีสัดส่วนที่ 99.59% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด"   "สำหรับปัจจุบัน ไอแบงก์  มีผลการดำเนินงานกำไรสุทธิ เบื้องต้นกว่า 500 ล้านบาท ( สิ้นสุด  ณ  วันที่ 31 ธ.ค. 2561)   หลังจากที่ธนาคารได้รับการเพิ่มทุนจำนวน 18,100 ล้านบาท เป็นที่เรียบร้อย เมื่อช่วงปลายปี 2561 ที่ผ่านมา  ส่งผลทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นส่วนใหญ่ โดยกระทรวงการคลัง มีสัดส่วนที่ 99.59% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด"


ประเด็นน่าสนใจก็คือ  ไอแบงก์ซึ่งเริ่มต้นก่อตั้งมาแต่ยุครัฐบาลทักษิณ และมีลักษณะเฉพาะทางการดำเนินธุรกรรม  จึงประสบปัญหาทางธุรกิจ ถึงขั้นต้องมีการเพิ่มทุน  รวมถึงปรับปรุงโครงสร้างการทำงานบ่อยครั้งมาก  

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ
 

ย้อนกลับไปในช่วงที่คสช.เข้ายึดอำนาจรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  ทุกคนก็ต้องพบตัวเลขที่น่าตกใจ  เนื่องจากสถานะทางการเงินของไอแบงก์    สิ้นสุด   ณ   เดือน  ส.ค. 2557  ที่ผ่านมา   พบว่าธนาคารมียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้   (เอ็นพีแอล)   คงค้างเป็นยอดเงินกว่า 4.2 หมื่นล้านบาท  หรือคิดเป็น  38% ของสินเชื่อรวม 1.1 แสนล้านบาท    และมีแนวโน้มจะย่ำแย่ไม่หยุด  เนื่องจากมีลูกหนี้รายใหญ่ถูกลดอันดับลงเป็นเอ็นพีแอลเพิ่ม   ทำให้ในปี  2557 ไอแบงก์มียอดหนี้เสียเพิ่มขึ้นมาก   และคาดว่าการณ์ในขณะนั้นว่าจนถึงสิ้นปี 2557   ไอแบงก์อาจมียอดเอ็นพีแอลเพิ่มเป็น  5   หมื่นล้านบาท

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

 

การตรวจสอบของ "สนข.ทีนิวส์" ในขณะนั้นพบด้วยว่า   ลูกหนี้ไอแบงก์ส่วนมากเป็นรายใหญ่เกือบทั้งหมด    และแต่ละรายมีมูลค่าหนี้สูงตั้งแต่  1-3  พันล้านบาท   นอกจากนี้เมื่อตรวจสอบในบัญชีลูกหนี้จากระบบของสินเชื่อทั้งหมด    มีแนวโน้มว่าลูกหนี้รายใหญ่หลายรายที่ไม่มีศักยภาพในการชำระหนี้   จะกลายเป็นเอ็นพีแอลได้ในอนาคต   ที่สำคัญยังมีการคาดการณ์ว่ายอดเอ็นพีแอลของไอแบงก์    อาจสูงขึ้นถึง 80%    จนทำให้ธนาคารไม่สามารถดำเนินงานต่อไปได้    อย่างไรก็ตาม  ประเด็นนี้เคยมีการนำเสนอหลายครั้งว่า  จุดหนึ่งที่ถูกตั้งข้อสังเกตุอย่างมาก  ก็คือ  ในช่วงรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหาร ไอแบงก์   มาเป็น  นายธานินทร์  อังสุวรังษี  น่าจะมีส่วนสำคัญให้อาการป่วยของ ไอแบงก์  ยิ่งทรุดลงอย่างรวดเร็ว

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

 

ถามว่านายธานินทร์  เป็นใคร   เป็นที่รับรู้ว่านายธานินทร์เองค่อนข้างจะมีความใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยเป็นพิเศษ   เนื่องจากในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการไอแบงก์  นายธานินทร์   ก็ยังนั่งควบคู่กับการเป็นบอร์ด  บมจ.ท่าอากาศยานไทย    ซึ่งมีนาวาอากาศตรี  ศิธา ทิวารี  ทำหน้าที่เป็นประธานบอร์ดอีกด้วย

 

นอกจากนี้ถ้าย้อนประวัติกลับไป  นายธานินทร์     อดีตก็เคยเป็น  กรรมการผู้จัดการ แมคไทยจำกัด   ,  ประธานบริษัท 988 พลัส จำกัด    ,  ที่ปรึกษา CEO บริษัทเมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน)   ,  เป็นกรรมการบริษัทศัลยกรรมเพอร์เฟคเท็น จำกัด  ,  บริษัทอีซีท็อปอัพ จำกัด  ,  บริษัท แวง จำกัด  , บริษัทเอ็มบาสซี่ ซีนีมา จำกัด  , บริษัทอินโนเวทีฟ จำกัด   ,  บริษัทอินโนเวทีฟ เอนเอจี แมเนจเมนท์ จำกัด   และ   ก่อนจะได้รับการคัดเลือกมาเป็นผู้จัดการไอแบงค์   นายธานินทร์ก็ทำหน้าที่  เป็น ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แคปปิตอล โอเค  บริษัทในเครือชินคอร์ป

 

ขณะเดียวกันในช่วงที่มีการคัดเลือกกรรมการผู้จัดการไอแบงก์   นายธานินทร์ เคยถูกทักท้วงจากคณะกรรมการสรรหา    ถึงขั้นให้เขียนกำหนดลงไปในรายงานการประชุมว่า   คุณสมบัติของนายธานินทร์   ไม่เหมาะกับการเป็นเอ็มดีของไอแบงก์   เพราะไม่ใช่ผู้บริหารสูงสุดขององค์กร  แต่เป็นเพียงผู้จัดการทั่วไปเท่านั้น   นอกจากนี้ คุณสมบัติที่กำหนดยังระบุว่า  ต้ องเคยผ่านการบริหารงานในสถาบันการเงิน  และมีเงินทุนหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 1 หมื่นล้านบาท    ปรากฎว่าแคปปิตอล โอเค  เองมีเงินทุนหมุนเวียนไม่ถึงเกณฑ์   คณะกรรมการสรรหา    จึงระบุว่า หากคุณสมบัติผู้สมัครไม่ครบ ให้ถือว่าเป็นความผิดของผู้สมัครเอง  เพราะแรงสนับสนุนทางการเมืองต้องการให้นายธานินทร์ได้รับตำแหน่งนี้…

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ

 

และจากการเข้าทำงานในไอแบงก์ไม่นาน ก็เกิดปฏิกริยาต่อต้านจากสหภาพพนักงานไอแบงก์     โดยการรวมตัวประท้วงและนำเสนอข้อมูล  ให้สาธารณชนเห็นถึงวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นภายในสถาบันการเงินแห่งนี้    ผ่านการสื่อสารว่า    ไอแบงก์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่วันที่   12  มิถุนายน  2546    กำลังตกต่ำถึงขีดสุดในยุคของนายธานินทร์   ทั้งในด้านผลประกอบการ   ที่มีขนาดสินทรัพย์ลดลงมากกว่า  20 %   นับตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555 

โดยเฉพาะกรณี ไอแบงก์  มีหนี้เอ็นพีแอลมากเป็นประวัติการณ์ถึง  3.9  หมื่นล้านบาท    และการขาดทุนสะสมที่มากกว่าทุนการดำเนินการ  ทำให้อัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสียงติดลบถึง 14 %   ซึ่งถ้าคิดเป็นตัวเลขการขาดทุน  กลุ่มพนักงานไอแบงก์ระบุว่า  มีการขาดทุนเฉพาะช่วงเดือนม.ค.- พ.ค. 2556  ประมาณ   7 พันล้านบาท ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของธนาคารลดลงเป็นลำดับกระทั่งมีการถอนเงินจากบัญชีเงินฝากถึง  2.9 หมื่นล้านบาท  ตั้งแต่เดือน พ.ย. 2555 – เดือน  พ.ค.2556

 

1. สั่งการให้ผู้บริหารที่เกี่ยวข้องยกเลิกกระบวนการอนุมัติและเบิกจ่ายสินเชื่อที่ไม่เป็นไปตามข้อบังคับธนาคาร ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของลูกค้าธุรกิจ  จนมีผลทำให้ลูกค้าจำนวนมากประสบปัญหาในทางธุรกิจจนไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้  ดังปรากฏจากหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคารได้เพิ่มขึ้นจาก 24,000 ล้านบาทในเดือนพ.ย.2555 เป็นมากกว่า 38,000 ล้านบาท ในเดือนเม.ย.2556


2. สั่งการให้ยกเลิกการรวบอำนาจการอนุมัติตามลำดับชั้นโดยกรรมการผู้จัดการธนาคาร ซึ่งการสั่งการของกรรมการผู้จัดการธนาคาร ส่งผลให้การอนุมัติดำเนินการต่างๆ ได้เกิดความล่าช้าและไม่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดความเสียหายต่อการดำเนินงานในการสั่งซื้อสั่งจ้างพัสดุหรือการดำเนินการที่มีความจำเป็นในหน่วยงานต่างๆ ของธนาคาร และสุ่มเสี่ยงต่อการถูกคู่ค้าของธนาคารฟ้องร้อง


3. สั่งการให้ยกเลิกการว่าจ้างคณะที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการ ทุกราย  เนื่องจากธนาคารมีค่าใช้จ่ายในการจ้างที่ปรึกษากรรมการผู้จัดการรวมมากกว่า 1 ล้านบาทต่อเดือน  4. สั่งการให้สอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการสั่งกันสำรองเป็นเงินจำนวน 7,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ธนาคารขาดทุนจนทุนติดลบโดยไม่มีความจำเป็น
5. สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีที่มีการออกข่าวในทางเสียหายต่อธนาคาร โดยเฉพาะการเปิดเผยรายงานธนาคารแห่งประเทศไทย มีหนี้เสียถึง 39,000 ล้านบาท  ทั้งที่ในข้อเท็จจริง ณ เดือน ม.ค.2556  ธนาคารมีหนี้เสียเพียง 24,000 ล้านบาท 


6.สั่งการให้ตั้งคณะทำงานสอบข้อเท็จจริงกรณีมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแก้ไขชั้นหนี้ลูกค้าเบิกเกินวงเงิน (OD) หลายรายเพื่อปกปิดหนี้เสียกว่า 3,000 ล้านบาท ในเดือนก.พ.2556 ที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงยอดหนี้เสียรวมของธนาคารอย่างมีนัยสำคัญ


1. พฤติการณ์ตบแต่งบัญชีรับสินบน    โดยมีรายละเอียดประกอบว่า  นายธานินทร์  ในฐานะผู้จัดการไอแบงก์ขณะนั้น    ได้ตบแต่งงบการเงินประจำเดือน  ก.พ. 2556 และมีการรายงานเท็จต่อคณะกรรมการธนาคาร และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ด้วยการแก้ไขการจัดชั้นหนี้เพื่อให้ยอดหนี้เสียลดลงไปกว่า  4,000 ล้านบาท   เนื่องจากต้องการปกปิดความไม่มีประสิทธิภาพของตัวเอง  ซึ่งถือเป็นการเข้าข่ายการกระทำความผิดตามมาตรา 55  ของพระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย    ไม่เท่านั้นมีรายงานข่าวด้วยว่า  ทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ได้มีการส่งบันทึกถึงประธานคณะกรรมการธนาคารไอแบงก์ (ในขณะนั้น)    เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนนายธานินทร์ใน  3-4  ประเด็น จากหนังสือร้องเรียน   

 

พนักงาน! โห่ไล่คน \"ชินวัตร\" หลัง \"ไอแบงก์\" พลิกฟื้นพ้นขาดทุนยับ


2. พฤติการณ์ให้ข่าวที่สร้างความเสียหายต่อธนาคาร         
3.พฤติการณ์สั่งระงับสินเชื่อจนทำให้ลูกค้าได้รับความเดือดร้อน   โดยเป็นกรณีที่มีการกล่าวหาว่านายธานินทร์    มีการเรียกรับสินบนจากการปล่อยสินเชื่อกับบริษัท ท้าพิสูจน์ อินเตอร์เนชั่นแนล   ซึ่งบริษัทดังกล่าวได้มีการฟ้องร้องกับนายธานินทร์  ฐานเรียกรับสินบนที่โรงแรมอมารี  วอเตอร์เกท   เมื่อวันที่  22 มี.ค. 2556    2. พฤติการณ์ให้ข่าวที่สร้างความเสียหายต่อธนาคาร    

    

อย่างไรก็ตาม  นายธานินทร์  ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด  พร้อมยืนยันว่าในช่วงการเข้าบริหารงาน ไอแบงก์ ได้มุ่งมั่นจะแก้ปัญหาวิกฤตทางการเงินขององค์กรมาโดยตลอด   กระนั้นท้ายสุด  นายธานินทร์   ก็ตัดสินใจยื่นหนังสือลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการไอแบงก์  โดยอ้างเหตุผลเรื่องสุขภาพ  เมื่อวันที่ 26  มิ.ย.  2556  และบอร์ดได้อนุมัติให้มีผลในวันที่ 30 มิ.ย.  2556   แต่หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน   คือ   ในวันที่  19  ก.ค. 2556    นายธานินทร์     ก็ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์    ให้ไปนั่งเป็นบอร์ดธนาคารอาคารสงเคราะห์  ทดแทนตำแหน่งผู้บริหารไอแบงก์ที่ลาออก    ก่อนจะมีความพยายามแก้ไขปัญหาให้กับ  ไอแบงก์  ในหลากหลายรูปแบบจนกระทั่้งมาเริ่มเห็นผลในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ นี้เอง..