- 28 พ.ค. 2562
ในรายการเที่ยงตรงกับสนธิญาณ ได้นำเสนอในตอน สันดานนักการเมือง..คิดแต่ผลประโยชน์ตัวและพรรค ควรเอา พล.อ เปรม เป็นแบบอย่าง
ในรายการเที่ยงตรงกับสนธิญาณ ได้นำเสนอในตอน สันดานนักการเมือง..คิดแต่ผลประโยชน์ตัวและพรรค ควรเอา พล.อ เปรม เป็นแบบอย่าง ซึ่งคุณ สนธิญาณ ชื่นฤทัยในธรรม ได้ระบุเอาไว้ว่า ยังอยู่ในบรรยากาศการระลึกถึง พณ. ท่าน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ รัฐบุรุษและอดีตประธานองคมนตรีสองแผ่นดิน อดีตผู้สำเร็จราชการ ผมขออนุญาตเรียนแบบนี้ล่ะครับว่าวันนี้ จำเป็นนะครับที่จะต้องพูดถึงเรื่องพลเอกเปรม เพื่อที่จะให้นักการเมืองทั้งหลายที่เคลื่อนไหวทางการเมืองอยู่ในขณะนี้นะครับ
จำใส่กะโหลกของตัวเองในการที่จะเอาพลเอกเปรมนะครับมาเป็นแบบอย่างในการทำงาน อย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์ อย่าคิดแต่ในเรื่องการเมือง เรื่องในสิ่งที่ตัวเองจะได้เพียงเท่านั้น ข่าวล่าสุดที่ผมได้รับมานี่นะครับ น่าจะมีการประชุมรัฐสภาและเลือกนายกรัฐมนตรีกันในวันที่ 4 มิถุนายน ที่จะถึง ถ้านับจากวันนี้นะครับ 29 30 31 1 2 3 4 อีก 7 วันครับ เป็นอีก 7 วันนะครับที่การเมืองยังไม่จบ ยังเคลื่อนไหวให้รู้สึกน่าเอือมระอา น่าขยะแขยง น่าจะอ๊วกล่ะครับ
ในบรรยากาศที่เห็นและเป็นอยู่ครับ ทำไมนะครับผมถึงพูดด้วยถ้อยคำแบบนี้ ก็เพราะสิ่งที่ประชาชนสัมผัสและรู้สึก สัมผัสได้แบบเดียวกับที่ผมสัมผัสและรู้สึกซึ่งเดี๋ยวจะได้แจกแจงให้เห็นต่อไป มีบางคำถามที่เข้ามาถึงผมว่าซาดิสท์เหลือเกินนะ สนธิญาณ ทำไมถึงอยากให้ยุบสภาเหลือเกิน ผมจะเรียนแบบนี้ครับว่า มันเป็นเรื่องที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้
จากสภาพความจริงทางการเมืองที่เป็นอยู่และจากประสบการณ์ในการทำข่าวการเมืองมา 30 กว่าปี ก็จะได้แจกแจงให้ท่านผู้ชมได้เห็นเหมือนกัน เรื่องการยุบสภานี่ผมจะขออนุญาตเรียนแบบนี้นะครับ ย้ำ วันนี้นะครับได้ สส. มา ชัดเจนล่ะครับ ฝากฝั่งแนวร่วมพลังประชารัฐนะครับได้คุณเดียร์ คุณตั๊นเข้ามานะครับ คือพรรคพลังประชารัฐเพิ่มมาหนึ่งนะครับ จาก 115 ก็เป็น 116 ประชาธิปัตย์นะครับจาก 52 ก็เป็น 53 นะครับ จะทำให้ฝากฝั่งรัฐบาลวันนี้มีเสียง 255 ทางฝากฝั่งแนวร่วมเพื่อไทยนะครับ ก็จะมีเสียง 245 เสียง เพิ่มจากอนาคตใหม่เขต 8 เชียงใหม่อีก 1 เสียง ยังเรียกว่ามีเสียงปริ่มน้ำ และภายใต้เสียงปริ่มน้ำนี้นะครับ แม้ในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเลือกคุณชวน หลีกภัยเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร และได้ดำรงตำแหน่งประธานรัฐสภาไปโดยปริยาย รัฐบาลจะมีเสียงโหวต 258 เสียง
ซึ่งนับเวลานั้นนี่นะครับ รัฐบาลมี 253 เสียง ตัดปู่ชัยออกเหลือ 252 ก็แสดงว่ามีงูเห่าปรากฏในการโหวต 6 ตัว หรือ 6 สส. นะครับ มาบวกกับ 255 ที่มีนี่นะครับแล้วคุณชวนต้องนั่งเป็นประธานรัฐสภาอีก รัฐบาลก็จะมีเสียงที่จะช่วยดูแลรักษากันนี่ 260 เสียง นี่รวมงูเห่าที่ปรากฏ ฝากฝั่งฝ่ายค้านซึ่งนำโดยเพื่อไทย อนาคตใหม่ ก็จะเหลือ 239 239 นี่นะครับ ต่างกัน 11 เสียง ก็ต้องเรียนว่า ต่างกัน 11 เสียง เวลาเดินเข้าสู่เกมทางการเมืองนี่นะครับ จะต้องเจอจะต้องพบแน่ เพราะตอนที่มีการโหวตรองประธานสภาคือคุณสุชาติ ตันเจริญ ปรากฏว่าคุณสุชาตินี่นะครับได้เพียง 248 เสียง
ในขณะที่พรรคอนาคตใหม่นี่นะครับ ได้ 246 เสียง ทำไมเสียงที่เลือกคุณชวนถึงไม่เลือกคุณสุชาติ มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนครับ มันมีประเด็นทางการเมืองซ่อนเร้นอยู่ ทั้งในพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ ในขณะนี้นี่นะครับเรียนว่าการเจรจา แม้หลักการจะจบแล้วแต่รายละเอียดยังไม่ลงตัว เพราะฉะนั้นรายละเอียดที่ไม่ลงตัวนะครับอาจจะพลิกทำให้หลักการที่ตกลงกันหักก็เป็นได้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ได้ตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรไปแล้ว
โดยคุณชวน ไปนั่ง ที่เหลือนี่นะครับก็ต้องมาดูกัน เพราะว่าเกมตอนนี้อยู่ในมือพรรคประชาธิปัตย์ ผมเรียนอย่างนี้นะครับ สมมติว่าตั้งรัฐบาลได้ พรรคฝ่ายค้านนี่นะครับ จะเริ่มต้นด้วยการอภิปรายไม่ไว้วางใจรายบุคคล แยกจิ้มเอารัฐมนตรีแต่ละคนที่มีความขัดแย้งกันภายใน มีการเตรียมการจะโค่นล้มหักหาญกันเองระหว่าง สส.ในพรรคของพรรคนั้นเอง และหรือระหว่างพรรค เพราะอย่าลืมว่าพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคออกแตก พลังประชารัฐก็เป็นพรรค 4 กลุ่ม นี่คือข้อเท็จจริงถ้าพรรคฝ่ายค้านพุ่งเป้าอภิปรายรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลนะครับ รู้อยู่แล้วถึงความแตกแยกเหล่านี้
ความหวาดระแวงนะครับ ปัญหาต่างๆจะเกิดขึ้นในรัฐบาลทันที เสียงก็จะไม่เท่ากัน เหมือนปรากฏในการเลือกประธานสภาผู้แทนราษฎรและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั่นเอง นี่เป็นตัวอย่างอันแรกที่เห็นและปรากฎขึ้นชัดเจนแล้วนะครับ หลังจากนั้นพรรคฝ่ายค้านก็ดำเนินการต่อนะครับ ในจังหวะเวลาที่เหมาะสมในสมัยประชุมที่เหมาะสมก็คืออภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี หรืออภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีทั้งคณะนะครับ หลังจากสร้างความปั่นป่วนมาแล้ว โอกาสที่รัฐบาลจะยืนอยู่อย่างมีความสุข ลำบากมากนะครับ ท่านนายกรัฐมนตรีเอง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีนึกจะสั่งคนโน้นคนนี้ อย่านึกว่าเขาจะเกรงใจเหมือนคณะรัฐมนตรีชุดที่ท่านตั้งมาเองกับมือนะครับ ไม่มีหรอกครับ เขามาเพราะพรรคเขาส่งนะครับ เขาต่อรองมานะครับ เขามีจุดประสงค์
มีความมุ่งหมายในการที่จะเดินไม่ว่าจะโดยให้ไปบรรลุนโยบายพรรคของเขา หรือตอบสนองผลประโยชน์บางด้านบางประการก็ตามแต่ วันนั้นท่านนายกรัฐมนตรี พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีโอกาสที่จะสั่งการหรือกำหนดแนวทางอะไรได้เหมือนเดิม เพราะชะตากรรมของท่านอยู่ในสภา อยู่ที่มือของ สส. เขาเป็นคนกุมชะตากรรมของท่าน ไม่ใช่ในยุคปัจจุบันที่ท่านกุมชะตากรรมของรัฐมนตรีต่างๆ นี่แหละครับสภาพการณ์ที่ผมเรียนว่า การยุบสภาเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ท่านนายกจะต้องวางจังหวะวางเวลาทำงาน สื่อสารให้ประชาชนเข้าใจนะครับ แล้วให้ประชาชนเขาได้ตัดสินใจ ยังขืนลากถูกันไปนะครับ แทนที่นะครับประวัติศาสตร์จะจารึกชื่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาในฐานะผู้เข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง มันอาจจะกลับมาเป็นอีกข้างนึงได้ นี่เป็นข้อเสนอที่มาด้วยความบริสุทธิ์ใจ
เพราะผมอยากจะให้พิจารณานะครับการเคลื่อนทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ พรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ต้นนะครับตั้งใจแน่วแน่มาร่วมรัฐบาล ไม่มีทางเป็นอย่างอื่นล่ะครับ แต่ดูเกมที่สร้างนะครับ วันที่ 21 พฤษภาคม ประชุม สส. มีความเห็นของ สส. ไม่ได้เป็นมตินะครับว่าให้ไปเจรจาร่วมรัฐบาล ให้คุณเฉลิมชัยไปในฐานะเลขาธิการพรรคนะครับ ไม่ได้บอกว่าให้ร่วมกับใคร แต่บอกว่าไม่ร่วมกับเพื่อไทยและอนาคตใหม่ เฉลิมชัยไปคุยกับคุณอนุทินได้ภาพมา ปรากฏว่าเมื่อมาประชุมกรรมการบริหารพรรคร่วมกับ สส. ในวันที่ 23 พฤษภาคม บอกว่ามีมติส่งประธานสภา พลังประชารัฐหงายเงิบกันเลยครับ ตั้งหลักจะเอาคุณสุชาติมานั่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ทำแบบนี้ต้องปรับขบวน เจรจาในทางลับกันใหม่ ทั้งในพรรคพลังประชารัฐเอง และพรรคประชาธิปัตย์เองนะครับ
วันที่ 24 นะครับปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์มีมติส่งคุณชวนขึ้นนั่งบัลลังก์ประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐยังหาข้อสรุปไม่ได้ในวันที่ 24 ค้างคาเพราะตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรกับตำแหน่งรัฐมนตรีที่มีการเจรจาต่อรอง มันเกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกันครับท่านผู้ชมครับ ไม่รู้จะทำยังไง ประชุมสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 25 จึงมีการประกาศว่าจะต้องเลื่อน แต่ในระหว่างนั้นนี่นะครับ มันมีการเจรจากันจบ ถ้าไม่เจรจากันจบนะครับพรรคพลังประชารัฐนี่นะครับไม่มาโหวตให้คุณชวนนั่งเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรหรอกครับ ที่พูดโอหัง โอ้อวดนะครับว่าคุณชวนมีคุณสมบัติ บรรดา สส. จึงเลือกและโหวตให้นะครับ มันไม่เป็นความจริงในท่อนปลาย
ความจริงท่อนแรกคือคุณชวนมีคุณสมบัติแน่นอน เป็นคนที่เหมาะสมที่จะเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรและประธานรัฐสภานี้แน่นอนครับ ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ แต่ที่ไม่จริงที่บอกว่า สส.ทั้งหลายโหวตให้เพราะชื่นชม ไม่ใช่ มันมาจากการเจรจาต่อรองในเรื่องผลประโยชน์ในการแลกเปลี่ยนตำแหน่งกัน เห็นไหมครับ 5 อ.ถึงมาเปลี่ยนในนาทีสุดท้ายนี่นะครับ นายอนุชา นายอัครวัฒน์ นายอาดิลัน นายอัฏฐพล 5 อ.ทั้งหลายที่มาเรียงอยู่ท่อนท้ายมาเปลี่ยนมติจากที่จะเคยเลื่อนการประชุมสภาผู้แทนราษฎรออกไปเพื่อไปเจรจากันให้จบและหาตัวประธานสภาให้ได้นะครับนั่นก็คือต้องมีการเจรจาระหว่างพรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์ แต่เจรจากันจบในระหว่างทาง 5 คนนี้ก็ทำเหมือนลงมติผิดนะครับ ทั้งๆความจริงไม่ต้องการให้เลื่อน ต้องการให้เลือกให้จบ ให้ได้ประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ว่าไงครับ พรรคประชาธิปัตย์บอกว่าเพราะเขาศรัทธาคุณชวนจึงมาเลือกเอง และยังออกมาตอกย้ำอีกนะครับว่าในขณะนี้ยังไม่มีมติร่วมรัฐบาลนะครับ คิดว่าประชาชนโง่ ในทางลับนี่นะครับเจรจากันจบแล้วว่าใครได้กระทรวงไหนเป็นยังไงนะครับ
ยื่นเงื่อนไขนะครับให้พรรคพลังประชารัฐนะครับยกขบวนส่งเทียบเชิญไปให้เป็นรูปเป็นร่าง แล้วบอกว่ายังไม่ร่วมนะ ในขณะเดียวกันนะครับให้ลูกน้องออกมาชูป้าย ไม่ร่วม ต้องเป็นฝ่ายค้านอิสระ ไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ต่อไป คือยังเดินกั๊กอยู่สองทางว่าจะเดินเกมการเมืองอย่างไร แบบนี้นะครับเล่นเกมทางการเมืองไหมนะครับ ดูถูกประชาชนไหม ทั้งๆที่ความจริงการเจรจาในทางลับนี่ทำกันตลอดมา ด้วยเหตุนี้แหละครับนักการเมืองทั้งหลายถึงบอกว่าน่าสะอิดสะเอียนในสันดานของนักการเมือง ผมก็อยากจะพูดถึงท่านพลเอกเปรมนะครับ ให้นักการเมืองทั้งหลายจำใส่กะโหลกกบาลของตัวเองเอาไว้นะครับ ว่าคนที่เป็นรัฐบุรุษและทำเพื่อชาติ ท่านมีความคิดความอ่านเป็นอย่างไร เดี๋ยวผมจะลำดับให้ท่านผู้ชมได้เห็นนะครับ ผมจะย้อนเหตุการณ์ไปในวันที่ 27 กรกฎาคม 2531 นะครับ
วันนั้นผมเป็นนักข่าวอยู่ในสนาม อยู่หน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์นะครับ มีม๊อบกำลังเคลื่อนไหวนะครับ ต่อต้านพลเอกเปรมนะครับ มีไม่กี่ร้อยหรอกครับ จัดโดยคุณเฉลิม อยู่บำรุง นั่นก็คือสันติบาลในขณะนั้นรายงานมา คุณเฉลิมอยู่ๆก็คงจะภูมิใจผลงานนี้ล่ะครับ แต่ความจริงนี่นะครับที่อยู่ในห้องประชุมนะครับได้ถูกถ่ายทอดเรื่องนี้ออกมานะครับผ่านพลเอกมงคล อัมพรพิสิฏฐ์ ซึ่งต้องถือว่าเป็นนายทหารที่มีความใกล้ชิดกับพลเอกเปรมเพราะเคยเป็นทั้ง ทส.นะครับ คือนายทหารคนสนิทนะครับ และเป็นผู้ที่เรียกว่าทำงานใกล้ชิดกับท่านพลเอกเปรมมาโดยตลอด ในวันนั้นนะครับตัวแทนพรรคการเมือง 5 พรรค ประกอบด้วยพรรคชาติไทย พรรคกิจสังคม พรรคประชาธิปัตย์ พรรคราษฎร พรรคสหประชาไทย มีพรรคเพื่อไทย มีพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเป็นแกนนำเพราะมีเสียงสูงสุด 87 เสียง ได้เข้าพบพลเอกเปรมที่บ้านสี่เสา เทเวศร์ ก็เพื่อจะไปขอให้เป็นนายกต่อนะครับ ผมจะเล่าบรรยากาศในวันนั้นที่ได้รับการถ่ายทอดออกมาว่า
เมื่อหลังจากที่เข้าพบพลเอกเปรมนะครับ พลเอกเปรมได้พูดดังนี้ครับ ภายใต้วาทะที่ถ่ายทอดมาสู่ภายนอกนะครับว่า ผมพอแล้วนี่นะครับ มีรายละเอียดดังนี้ครับ ท่านว่า บอกกับตัวแทนพรรคการเมือง 5 พรรคว่า ผมพอแล้ว ผมคิดมาแล้ว ผมตัดสินใจแล้ว ชัดเจนไหมครับ 8 ปี 5 เดือน ขอให้พวกคุณทำต่อไป และผมอยากเห็นประชาธิปไตยเดินหน้า ถ้าผลงานที่รัฐบาลทำมาดีแล้วก็ทำต่อไป ถ้าทำไม่ดีก็ปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น ถ้ามีอะไรให้ผมช่วยก็บอกมา ผมยินดีให้คำปรึกษาอย่างเต็มที่ เพื่อชาติ เพื่อประชาชน เพื่อสถาบันสูงสุดที่ผมเทิดทูนด้วยชีวิต แต่สิ่งหนึ่งที่ผมยังทำไม่เสร็จก็คือการช่วยเหลือคนยากคนจน แม้ 5 สมัยที่ผ่านมาจะทำงานอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม ก็ขอฝากให้พวกเราทำต่อไป
นั่นคือสิ่งที่พลเอกเปรมฝากให้กับตัวแทนพรรคการเมืองในวันนั้น แม้แต่วันที่ท่านได้จากพวกเราไปแล้ว ยังมีข่าวปรากฏว่าเงินเดือนท่านทั้งหมดที่เก็บเอาไว้นะครับ จะมอบให้สาธารณกุศลมาช่วยคนยากคนจนต่อไป นั่นคือลมหายใจของรัฐบุรุษ นั่นคือลมหายใจของผู้ที่ทำงานเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดิน ซึ่งเป็นเรื่องที่นักการเมืองทั้งหลายไม่ใช่แค่มาแสดงอาการเสียอกเสียใจนะครับ ไปร่วมงานของท่านเท่านั้น จะต้องสำนึกให้อยู่ในจิตใจ ให้อยู่ในกบาลกะโหลกของคุณ ไปเปลี่ยนแปลงสันดานในการเห็นแก่ตัว เห็นกับพรรคมากกว่าประเทศชาติ สวัสดีครับ