- 13 มิ.ย. 2562
เดินหน้าทางการเมืองเต็มตัวแล้ว สำหรับพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนที่29 สมัยที่ 2 จากนี้ก็มาถึงเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล การจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรี ซึ่งถือว่า "สำคัญที่สุด" ท่ามกลางกระแสแย่งกันฝุ่นตลบ
ล่าสุดมีรายงานข่าวว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ในพรรคพลังประชารัฐ พรรคแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อดำเนนการบริหารพรรคด้วยตัวเอง
ตามที่มีการระบุว่า ทางพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ได้นำใบสมัครเป็นสมาชิกพรรคให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ และรมว.กลาโหมนั้น เป็นไปตามไทม์ไลน์ที่ทางพรรคพปชร. ได้วางเอาไว้แล้ว โดยหลังจากสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้สำเร็จ และมีการแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ทางพรรคจะมีการจัดประชุมใหญ่พรรคเพื่อพิจารณาวาระสำคัญ ในช่วงเดือนก.ค.นี้ เพื่อเปลี่ยนแปลงรายชื่อกรรมการบริหารพรรค
ทั้งนี้สาเหตุที่ต้องตัดสินใจเช่นนั้น เพราะมีเป้าหมายต้องการทำงานการเมืองระยะยาว และเพื่อจะได้เป็นนักการเมืองเต็มตัวลบข้อครหาเสียงวิจารณ์ต่างๆ ออกไป โดยเฉพาะข้อครหาเรื่องการเข้ามาสืบทอดอำนาจ และที่ผ่านมาการลงพื้นที่หาเสียงก็ทำได้ไม่เต็มที่
นอกจากนั้น อีกสาเหตุคือ ปัญหาภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่แบ่งเป็นกลุ่มต่าง ๆ โดยเฉพาะจาก “กลุ่มสามมิตร” ที่ก่อหวอดเคลื่อนไหวต่อรองเก้าอี้รัฐมนตรี ดังนั้น เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการทำงานของพรรค โดยเฉพาะจำนวนเสียงเวลาโหวตเรื่องสำคัญ ๆ ในสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์ จึงต้องเข้ามาเป็นหัวหน้าพรรค และควบคุมพรรคทั้งหมดเอง
ขณะที่อีกตำแหน่งสำคัญอย่างเลขาธิการพรรคนั้น จะมีการเสนอชื่อนายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ลำดับที่1 ซึ่งในปัจจุบัน ดำรงตำแหน่งเป็น รองหัวหน้าพรรค รับหน้าที่แทนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคคนปัจจุบัน
ว่ากันว่า คีย์แมนคนสำคัญผู้อยู่เบื้องหลังการร่วมตัวของ พลังประชารัฐ แบ่งออกเป็น 2 ขั้วหลัก ขั้วแรกคือฝั่งทหาร สายตรง “พล.อ.ประยุทธ์” ขั้วที่สองไม่ใช่ใครที่ไหน คือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ หรือที่เรียกกันว่า เฮียกวง รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ผู้ที่ขับเคลื่อนนโยบายต่างๆออกมา สร้างความฮือฮา เรียกเรตติ้งให้รัฐบาล รวมถึงได้ใจผู้มีรายได้น้อย กับสารพัดมาตรการ โดยเฉพาะ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือในภาพใหญ่ประเทศ โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รถไฟฟ้าหลายสาย หรืองานผุดโปรเจกต์อีอีซี จนไว้รับความไว้วางใจจากพล.อ.ประยุทธ์
ส่ง เด็กในคาถา อดีตรัฐมนตรี 4 คนสนิท คือ นาย อุตตม สาวนายน นาย สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ นาย สุวิทย์เมษินทรีย์ และ นาย กอบศักดิ์ภูตระกูล ไปอยู่ในคณะกรรมการบริหารพรรค หัวหน้าพรรค , เลขาธิการพรรค , รองหัวหน้าพรรค และ โฆษกพรรค
ผนวกกับความเป็นผู้ประสานสิบทิศทั้งภาคธุรกิจและการเมืองของนายสมคิด โดยเฉพาะคอนเน็กชั่น ซี้เก่า “3ส.” ระหว่าง นายสมศักดิ์ เทพสุทิน นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจและตัวนายสมคิด ซึ่งทั้ง3ในอดีต เป็นแกนนำเบอร์สำคัญ ของพรรคไทยรักไทย ก่อนจะแปลงร่างเป็นกลุ่มการเมือง ใช้ชื่อว่า “สามมิตร” เดินสายรวบรวมบรรดาอดีต ส.ส. ในพรรคต่างๆ ทั้งภาคอีสานและภาคเหนือ แต่ไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้ง
และการจัดสรรโควต้า เก้าอี้ รัฐมนตรี ของกลุ่มสามมิตร ออกมาเคลื่อนไหว กดดันพล.อ.ประยุทธ์ ทั้งความพยายามทวงคืนกระทรวงเกรดเอ ขณะที่ผู้บริหารพรรค ทั้งหัวหน้า-เลขาธิการ เดินตามเกมที่กลุ่มสามมิตรได้วางไว้ เรื่องนี้จึงไม่แปลกที่นายสมคิดจะถูกมองว่า มีความเกี่ยวข้อง หรือเชื่อมโยง กันหรือไม่ และเรื่องดังกล่าวอาจจะส่งผลให้นายสมคิด ไม่พอใจถึงขั้น ตัดสินใจไม่รับตำแหน่ง รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 2/1 ก็เป็นได้ พร้อมกับ ข่าว ลือกันสะพัด ว่านายสมคิด อาจไม่ร่วมรัฐบาล หาก พรรคพปชร. ไม่ได้รับผิดชอบดูแลงานกระทรวงเศรษฐกิจหลัก
อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเปลี่ยงแปลงในพรรคพลังประชารัฐ เอาลูกน้องคนสนิทออกจากกรรมการบริหารพรรค นึ่อาจเป็นส่วนหนึ่ง ให้นายสมคิด เกิดอาการ ”น้อยใจ” ตัดสินใจโบกมือลาก็เป็นได้