ถอดสมการโจทย์ “ฟ้องถือหุ้นสื่อ”!!  รู้ให้เท่าทัน “อนาคตใหม่” จะเอายังไงต่อดี  สุดท้ายทำให้ “บิ๊กตู่” เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยไม่ได้??

ถึงนาทีนี้ดูจะเลยเถิดไปไกลเกินภาพการทำหน้าที่ตรวจสอบไปแล้ว สำหรับกรณีการถือครองหุ้นสื่อซึ่งถือเป็นการกระทำ ตามข้อห้ามในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42 เพราะการต่อสู้โดยกระบวนการยื่นคำร้อง เอาผิดระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ชัดเจนว่าเป็นเกมส์การเมือง

ถึงนาทีนี้ดูจะเลยเถิดไปไกลเกินภาพการทำหน้าที่ตรวจสอบไปแล้ว  สำหรับกรณีการถือครองหุ้นสื่อซึ่งถือเป็นการกระทำ ตามข้อห้ามในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98  และ  พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42   เพราะการต่อสู้โดยกระบวนการยื่นคำร้อง เอาผิดระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ชัดเจนว่าเป็นเกมส์การเมืองถึงนาทีนี้ดูจะเลยเถิดไปไกลเกินภาพการทำหน้าที่ตรวจสอบไปแล้ว  สำหรับกรณีการถือครองหุ้นสื่อซึ่งถือเป็นการกระทำ ตามข้อห้ามในบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 98  และ  พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561 มาตรา 42   เพราะการต่อสู้โดยกระบวนการยื่นคำร้อง เอาผิดระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับฝ่ายค้าน ชัดเจนว่าเป็นเกมส์การเมือง

งานนี้ถ้าไล่ลำดับความ   ต้องไปเริ่มต้นจากการที่พรรคอนาคตใหม่  รวมรายชื่อยื่นเรื่องต่อ  นายชวน หลีกภัย  ประธานสภาผู้แทนราษฎร   ให้ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ  วินิจฉัยว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลชุดแรก  จำนวน 30  คน  จากส่งข้อมูลเมื่อวันที่ 4  มิถุนายน 2562  และ อีก 11 คน   ในการนำส่งข้อมูลเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2562   เพื่อวินิจฉัยคุณสมบัติ  เรื่องการถือครองหุ้นในกิจการสื่อสารมวลชน ตามมาตรา 82 ของรัฐธรรมนูญ 2560

ในจำนวน 41 รายชื่อส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล  ดังกล่าว  แยกเป็น   ส.ส.จากพรรคพลังประชารัฐ  มากสุด  จำนวน   27  คน  ,  พรรครวมพลังประชาชาติไทย  2  คน  , พรรคประชาภิวัฒน์ 1 คน ,  พรรคประชาธิปัตย์ 10 คน   และ พรรคภูมิใจไทยอีก  1 คน

โดยเหตุโดยผลที่พรรคอนาคตใหม่  นำประเด็นมาต่อสู้   แยกเป็น 2  กรณีสำคัญ ๆ คือ 1.เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง  เพราะมีการเทียบเคียงตลอด ว่าต้องการเห็นมาตรฐานของกระบวนการยุติธรรม  สืบเนื่องจากคำสั่งให้นายธนาธร  จึงรุ่งเรืองกิจ  หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่  หยุดปฏิบัติหน้าที่

และ 2. เพื่อสร้างจุดเปลี่ยนดุลอำนาจทางสภาฯ  จากเดิม 7 พรรคฝ่ายค้าน ถือเป็นเสียงข้างน้อย แต่ในกรณีถ้าสามารถทำให้ 41 ส.ส.ถูกคำสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ได้  ก็เท่ากับจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย

กรณีหลังนี้ต้องย้ำว่า     เป็นเหตุเป็นผล     สืบเนื่องจาก  รังสิมันต์  โรม ส.ส.อนาคตใหม่  เคยนำมาแถลงเมื่อวันที่ 6  มิถุนายน 2562   ว่า   การยื่นตรวจสอบ 41 รายชื่อ  ส.ส. พรรคร่วมรัฐบาล   เพราะพบว่าในวันดำรงตำแหน่งส.ส.ยังมีรายชื่อตามหนังสือบริคณฑ์สนธิ   ประกอบกิจการสื่อมวลชน   และหากศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้ ส.ส.ตามรายชื่อที่ยื่นไป หยุดปฏิบัติหน้าก็จะส่งผลให้เกิดภาวะรัฐบาลเสียงข้างน้อย  ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อการบริหารประเทศ


คำกล่าวลักษณะนี้คงไม่ต้องแปลความ  ว่า เจตนาของพรรคอนาคตใหม่  ต่อการเดินหน้ากดดันให้ศาลรัฐธรรมนูญ  เร่งพิจารณาคำร้องการถือครองหุ้นสื่อของ 41 ส.ส. มีนัยแฝงเร้นหรือไม่  อย่างไร

แต่ประเด็นสำคัญ  เช่นที่ “สำนักข่าวทีนิวส์”  นำเสนอไปก่อนหน้าก็คือ รายละเอียดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 วรรค 3 ซึ่งระบุว่า “มิให้นับสมาชิกผู้แทนราษฎร หรือ  สมาชิกวุฒิสภาซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคสอง เป็นจำนวนสมาชิกทั้งหมด เท่าที่มีอยู่ของสภาผู้แทนราษฎร หรือ วุฒิสภา”

ทั้งนี้กรณีของ มาตรา 82  วรรค  2   ก็คือ  การวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  ต่อคำร้องเรื่องคุณสมบัติส.ส.  แล้วมีคำสั่งให้สมาชิกผู้ถูกร้อง  หยุดปฏิบัติหน้าที่จนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย   รวมถึงในกรณีศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพของสมาชิกผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง และให้ผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง  นับวันหยุดปฏิบัติหน้าที่  

หมายความว่าในกรณีศาลรัฐธรรมนูญ   มีคำสั่งให้ส.ส.ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่  หรือ  พ้นจากตำแหน่ง  จะกี่มากคนก็ตาม   จำนวน ส.ส.เหล่านั้น   จะไม่ถูกนำไปนับรวมเป็นจำนวน   สมาชิกของสภาผู้แทนราษฎร  หรือ   วุฒิสภา   หรือ  หมายถึงว่า  ผลของบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา  82  วรรค 2  และ วรรค  3  โดยหลักการจะไม่มีผลต่อองค์ประชุมสภา  


 

ในทางตรงข้าม  กรณีการแก้เกมส์การเมืองล่าสุดของพรรคพลังประชารัฐ   ในการเข้าชื่อขอให้มีการตรวจสอบ ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้านเรื่องการถือครองหุ้นสื่อ      และคาดว่าจะมีจำนวนมากถึง   55  ราย   แยกเป็น พรรคอนาคตใหม่  จำนวน  33 คน   , พรรคเพื่อไทย  10 คน  ,   พรรคเพื่อชาติ  4 คน ,  พรรรคเสรีรวมไทย 4 คน  , พรรคประชาชาติ  2 คน  , พรรคเศรษฐกิจใหม่  1 คน และ พรรคพลังปวงชนชาวไทย  อีก 1 คน

 

กดเครื่องคิดเลขแล้ว   นับแบบเร็ว ๆ นาทีนี้   ถ้ามีส.ส. 100 คนถูกหยุดปฏิบัติหน้าที่  เพราะถือหุ้นสื่อ   แล้วนำมาตรา 82  วรรค  3  มาพิจารณาประกอบ  องค์ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจาก 500  ก็จะเหลือ  400 คน    และในกรณีการพิจารณาร่างกฎหมาย  ซึ่งยึดเอาเสียงข้างมาก  จำนวนสมาชิก ส.ส.ในการผ่านร่างกฎหมาย  จะใช้เสียง 201  คนขึ้นไป

 

ประเด็นก็คือ   แล้วพรรคร่วมรัฐบาล   และ  ฝ่ายค้าน   ใครคือ เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร     

ถ้าวัดจากตัวเลขล่าสุด   ตามสัดส่วนส.ส.  แบบตัวเลขกลม ๆ     กรณีส.ส.ทั้ง 96  รายชื่อต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่   เท่ากับว่า ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลจะเหลือ  213  เสียง  จากเดิม 254  เสียง  ขณะที่พรรคร่วมฝ่ายค้าน จะลดลงไปเหลือ  191  เสียง  จาก 246 เสียง

 

เท่ากับประเด็นว่า ความพยายามทำให้รัฐบาล”พล.อ.ประยุทธ์” กลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยของ   พรรคอนาคตใหม่มีแนวโน้มจะตกไปโดยปริยาย   แต่ทั้งหมดนี้ยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของเกมส์การเมือง   และท้ายสุดต้องรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ  ว่า จะมีข้อสรุปอย่างไร   ตลอดจน 2 ขั้วการเมืองจะเดินเกมส์ต่อไป ในรูปแบบไหน  ??