- 09 ก.ค. 2563
หลังจากออกประกาศแนวทางการเมืองในนามคณะก้าวหน้า ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ พร้อมแกนนำคนสำคัญอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในการเดินสู่สนามการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยการประกาศจะส่งผู้สมัครลงแข่งชิงเก้าอี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4,000 แห่ง จากทั้งสิ้น 7,800 แห่ง พร้อมกับการเคลื่อนไหวลงพื้นที่เพื่อประชุมหารือชาวบ้าน
หลังจากออกประกาศแนวทางการเมืองในนามคณะก้าวหน้า ของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรราคอนคตใหม่ พร้อมแกนนำคนสำคัญอย่าง นายปิยบุตร แสงกนกกุล อดีตเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ในการเดินสู่สนามการเลือกตั้งท้องถิ่น โดยการประกาศจะส่งผู้สมัครลงแข่งชิงเก้าอี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 4,000 แห่ง จากทั้งสิ้น 7,800 แห่ง พร้อมกับการเคลื่อนไหวลงพื้นที่เพื่อประชุมหารือชาวบ้าน
ล่าสุด ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ "ดร.นิว" นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์แสดงความเห็นกรอบความคิดของแกนนำคณะก้าวหน้า ว่า " #อย่าดูถูกธนาธร
ความผิดพลาดของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คือ การไม่สร้างประชาธิปไตย และทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนตามแนวทางการพัฒนาชาติของพระมหากษัตริย์นักประชาธิปไตยโดยมีล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 เป็นผู้ริเริ่ม อีกทั้งไม่ได้แก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีและแนวคิดทางการเมือง แถมยังปล่อยให้ความแตกแยกทางความคิดดังกล่าวลุกลามบานปลายใหญ่โตเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะมีความตั้งใจอันดีในการปฏิรูปประเทศ สามารถพัฒนาประเทศในหลากหลายด้าน แต่ก็ยังไม่สามารถแก้ไขที่ต้นตอของปัญหา ยังใช้การเมืองแบบเก่าแก้การเมืองแบบเก่า ใช้ธุรกิจการเมืองแก้ธุรกิจการเมือง ดังนั้นในรัฐบาลปัจจุบันจึงมีทั้งคนดีที่ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน และคนไม่ดีที่เข้ามาตักตวงผลประโยชน์จากประชาชน แต่ไม่ว่าจะคนดีหรือคนไม่ดี ก็ยังไม่มีใครที่จะสามารถนำพาประเทศชาติออกจากความขัดแย้งไปสู่ทางออกที่สงบสุขสันติได้ รัฐบาลเพียงแต่บริหารประเทศไปพร้อมๆกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไม่อาจแก้ไขปัญหาชาติได้ ดังนั้นการเมืองไทยจึงยังคงเป็นการเมืองในรูปแบบเก่าๆไม่ต่างจากการพายเรือในอ่างของฝ่ายอนุรักษ์นิยมกับฝ่ายที่อ้างตนเองเป็นประชาธิปไตยซึ่งต่างก็เป็นเผด็จการทั้งคู่
แม้ว่านายธนาธรจะปลุกม็อบแป้กอยู่ตลอดเวลา เขาก็ยังน่านับถือในทางอุดมการณ์ที่มีความพยายามอย่างไม่หยุดนิ่ง มากกว่านักการเมืองบางคนที่เอาแต่สร้างภาพแล้วนั่งแบ่งผลประโยชน์กันในฝ่ายรัฐบาล แต่น่าเสียดายที่ความดันทุรังของเขากลับเป็นความดันทุรังในทางที่ผิดอันจะนำไปสู่ความขัดแย้งและความแตกแยกที่นับวันมีแต่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะแนวทางของนายธนาธรยังคงเป็นการเมืองแบบเก่าที่หวังหลอกใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อแย่งชิงอำนาจจากอีกฝ่าย เห็นได้จากความพยายามในการปลุกม็อบรายวันผ่านโซเชียลมีเดียที่หลายๆครั้งดูเป็นเรื่องเลอะเทอะ และการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เป็นการปั่นกระแสโดยมีการชี้นำอย่างมีอคติ
ผมขอส่งเสียงเตือนไปยังรัฐบาลว่าอย่าดูถูกคลื่นใต้น้ำของนายธนาธรที่กำลังก่อตัวขึ้นลูกนี้ จงอย่าคิดว่าถ้าเขาไม่มีอำนาจทางการเมืองแล้วเขาจะทำอะไรไม่ได้.. ในเมื่ออำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน นายธนาธรจึงอาศัยความจริงข้อนี้ในการติดฉลากตัวเองด้วยคำว่าประชาธิปไตยและแอบอ้างประชาชนอยู่ตลอดเวลาเพื่อปกปิดความเป็นนายทุน ผลที่สุดก็เพื่อหาแนวร่วมในการใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง และในตอนนี้ขออย่าดูถูกการเคลื่อนไหวของนายธนาธรและคณะก้าวหน้า ในการเลือกตั้งท้องถิ่นที่ไม่ใช่การเลือกตั้งท้องถิ่นธรรมดา แต่เป็นการขยายเครือข่ายในการเคลื่อนไหวที่เป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพราะหากนายธนาธรกับคณะก้าวหน้าใช้โอกาสนี้ในการกระจายความขัดแย้งทางความคิดและทฤษฎีทางการเมืองของพวกเขา ปลายทางของความรุนแรงและความแตกแยกย่อมหลีกเลี่ยงได้ยากยิ่งในอนาคต
แม้โอกาสในการปลุกม็อบใหญ่ของนายธนาธรจะริบหรี่ แต่ก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ 2 ทาง 1.ความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล 2.ภาพลักษณ์แย่ๆของนักการเมืองฝ่ายรัฐบาลบางส่วนที่แก่งแย่งอำนาจและผลประโยชน์โดยที่ไม่ได้มีผลงาน แล้วเมื่อนั้นเครือข่ายการเมืองท้องถิ่นที่นายธนาธรกำลังสร้างอยู่นี้จะเป็นช่องทางอย่างดีในการปลุกปั่นมวลชนที่ไม่เท่าทันเป็นเครื่องมือทางการเมืองให้ลุกฮือขึ้นมาล้มล้างรัฐบาล แล้วอาจถูกทำให้ลามปามต่อไปสู่ความรุนแรงครั้งใหญ่ที่เป็นหายนะของประเทศได้ ประชาธิปไตยที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้อย่างไรหากคนสองกลุ่มนี้ยังทะเลาะกันไปมา ฝ่ายหนึ่งก็อ้างการเลือกตั้งมาจากประชาชน อีกฝ่ายก็อ้างความเป็นตัวแทนของประชาชน จนในประเทศไทยของเราทุกคนกลับมีแต่เสียงดังของคนสองกลุ่มที่ทะเลาะกันไม่หยุดเสียที จนสุดท้ายเสียงทะเลาะกันของคนทั้งสองกลุ่มได้บดบังเสียงที่แท้จริงของประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
วันนี้เราคงต้องยอมรับกันอย่างตรงไปตรงมา ว่าเราอยู่ภายใต้ระบอบเผด็จการที่อำนาจอธิปไตยไม่ได้เป็นของปวงชน เพราะการเมืองยังคงเป็นธุรกิจการเมือง ที่พรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลเองยังต้องมานั่งทะเลาะแบ่งผลประโยชน์ทางการเมืองกัน หรือแม้แต่คนรวยที่ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองก็ยังสามารถควบคุมพรรคฝ่ายค้านในรัฐสภาพร้อมๆกับการเคลื่อนไหวนอกรัฐสภา โดยที่คนอย่างผม หรือ เราๆ ท่านๆ ที่เป็นประชาชนต่างก็ไม่ได้มีสิทธิ์มีเสียงในการช่วยกันกำหนดชะตาของประเทศชาติอย่างดีที่สุดร่วมกัน อำนาจอธิปไตยของประชาชนยังคงตกอยู่ในเงื้อมมือของคนส่วนน้อย ตกอยู่ในเงื้อมมือของนายทุนพรรคการเมืองที่ไม่ว่าฝ่ายใดเข้ามามีอำนาจ ประเทศไทยก็ยังตกอยู่ในเกมธุรกิจการเมืองที่เป็นระบอบเผด็จการไม่ต่างกันอยู่ดี
แม้จะเป็นไปไม่ได้ที่ประชาชนทุกคนจะลุกขึ้นมาบริหารประเทศโดยตรง แต่การทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชนจะช่วยทำให้แนวทางในการบริหารกำหนดทิศทางของประเทศ มาจากเสียงของประชาชนส่วนใหญ่ซึ่งได้ผ่านกระบวนการกลั่นกรองที่รอบคอบและรอบด้านจนเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่อย่างแท้จริง ไม่ใช่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งภายใต้การครอบงำของนายทุนพรรคการเมือง หรือใครก็ได้ที่แอบอ้างประชาธิปไตยหรือประชาชนเป็นเครื่องมือ ประเทศไทยจึงต้องกระจายอำนาจการปกครองให้กับประชาชนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เอาอำนาจบริหารไปไล่แจก แต่ทำให้เสียงของประชาชนที่ผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดีและเป็นประโยชน์กับประชาชนส่วนใหญ่ดังขึ้นในรัฐสภา ทำให้ผู้แทนในรัฐสภากลายเป็นผู้แทนของประชาชนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ร่างทรงหรือหุ่นเชิดของนายทุนพรรคการเมืองหรือนักเคลื่อนไหวทางการเมืองที่เป็นเผด็จการ และตักตวงผลประโยชน์ไปจากประชาชน
หากสถานการณ์ยังคงดำเนินต่อไปเช่นนี้...ประชาชนอย่างเราจะพึงใครได้เล่าที่จะช่วยยุติปัญหาความขัดแย้งทางทฤษฎีการเมือง นำพาประเทศไทยออกจากระบอบเผด็จการธุรกิจการเมือง และทำอำนาจอธิปไตยให้เป็นของปวงชน..."อันว่าความกรุณาปรานี จะมีใครบังคับก็หาไม่ หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจ จากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน"