- 31 ก.ค. 2563
อดีตรองอธิการบดร ม.ธรรมศาสตร์
ก่อนหน้านี้เพิ่งจะโพสต์แสดงความเห็นปรากฎการณ์ทางการเมือง ที่หยิบฉวยประเด็นว่าด้วยการขับไล่รัฐบาล มาสอดใส้โดยการปลุกระดมความคิดคนรุ่นใหม่ ให้คิดถึงเรื่องการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง ด้วยพฤติการณ์จาบจ้วง ล่วงละเมิด สถาบันเบื้องสูง สำหรับ รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
( คลิกอ่านข่าวประกอบ : อดีตรองอธิการบดี มธ. ห่วงสังคมไทยแตกแยกหนัก ม็อบปลดแอกขาดไม่ได้ ป้ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ )
ล่าสุด รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร ได้แสดงความเห็นเพิ่มเติมในสถานการณ์การเมืองที่เกิดขึ้น ว่า ม็อบ “เยาวชนปลดแอก” ยังคงลามและมีความถี่มากขึ้นเรื่อยๆ หากจะบอกว่าม็อบลักษณะนี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เนื่องจากบรรดาเยาวชนถูกกดขี่คุกคามจากรัฐบาลเผด็จการจนทนไม่ไหว ต้องออกมาขับไล่รัฐบาล และยังเกินเลยไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย ก็คงเชื่อได้ยาก
พูดกันด้วยความเป็นธรรม นอกจากความเบื่อหน่ายนักการเมืองน้ำเน่าทั้งหลาย ประชาชนธรรมดาอย่างเราๆไม่ได้รู้สึกว่าจะถูกกดขี่ หรือไม่ได้รู้สึกว่ามีแอกให้ต้องปลดมากกว่ารัฐบาลอื่นๆแต่อย่างใด
หากไม่มีการสร้างเครือข่าย ไม่มีแกนนำ คอยป้อนข้อมูลที่บิดเบี้ยว คอยชักจูงทั้งทางตรงและทาง social media กระทั่งให้การสนับสนุนอย่างเป็นขบวนการแล้ว ยากที่เยาวชนเหล่านี้จะก่อม็อบขึ้นมาได้เองอย่างต่อเนื่องได้เช่นนี้
จะอย่างไรก็ตาม เรื่องแบบนี้จะว่ากันก็ไม่ได้ เพราะมันเป็นวิถีของการต่อสู้ ชิงไหวชิงพริบในทางการเมือง และทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้
ดังนั้น หากคนรุ่นใหม่อยากจะเข้าร่วมกับม็อบ หรือกระทั่งร่วมเป็นแกนนำเครือข่าย ก็ย่อมทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
เพียงอยากจะฝากคนรุ่นใหม่ทั้งหลายว่า ก่อนจะตัดสินใจเข้าร่วมในม็อบ ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้มากสักหน่อย อย่าดูแต่ข้อมูลจากสื่อที่มีการนำเสนอในรูปแบบแปลกใหม่และทันสมัยแต่มีพรรคการเมืองหนุนหลัง สื่อที่มักพูดความจริงเพียงครึ่งเดียว จ้องจะนำเสนอสิ่งที่เป็นลบต่อฝ่ายตรงข้าม และนำเสนอเฉพาะสิ่งที่เป็นบวกต่อพวกตัวเอง
จะเชื่อหรือไม่หากจะบอกว่า มีคนเป็นจำนวนมากทั้งรุ่นเก่า รุ่นใหม่ไม่ทราบหรือทราบแบบงูๆปลาๆว่า
1. การที่ให้สมาชิกวุฒิสภามาจากการแต่งตั้ง และให้มีสิทธิ์ลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี แม้อาจไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย แต่ก็เป็นเพียงบทเฉพาะกาลในรัฐธรรมนูญฉบับ 2560โดยให้มีวาระการทำงาน 5 ปี และเงื่อนไขนี้ได้ผ่านการทำประชามติมาแล้ว แม้ไม่มีการแก้รัฐธรรมนูญ เงื่อนไขนี้ก็จะถูกยกเลิกไปเองหลังจาก 5 ปีไปแล้ว
2. แม้พรรคเพื่อไทยจะได้ที่นั่งส.ส.มาเป็นอันดับ 1 แต่หากนับคะแนนเสียงที่ประชาชนลงทั้งหมด พรรคพลังประชารัฐกลับมาเป็นอันดับ 1 ด้วยคะแนนเสียง 8.4 ล้านเสียง ในขณะที่พรรคเพื่อไทยได้ 7.9 ล้านเสียง
3. แม้จะไม่มีคะแนนเสียงจากวุฒิสมาชิกเลย พลเอกประยุทธ์ ก็ยังคงได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ดี เพราะพรรคพลังประชารัฐสามารถรวบรวมเสียงส.ส.จากพรรคต่างๆได้มากกว่า และนี่คือวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย
4. หากนายกรัฐมนตรีมีอันต้องพ้นจากตำแหน่ง การเลือกรัฐมนตรีคนใหม่จะกระทำกันในสภาฯ โดยไม่ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ และไม่ต้องมีการยุบสภา
5. นโยบายจำนำข้าวของรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยคำสั่งของคุณทักษิณ ชินวัตร สร้างความเสียหายแก่ประเทศมากกว่า 5 แสนล้านบาท เนื่องจาก ในทางปฏิบัตินโยบายนี้ไม่ใช่การจำนำข้าวจริง แต่เป็นการรับซื้อข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงที่กว่าราคาตลาดมาก และขายออกไปในราคาขาดทุน
นอกจากนี้ยังไม่สามารถขายได้หมดจนข้าวที่ค้างสต็อคเน่าเสียไปเป็นจำนวนมาก ยิ่งกว่านั้นยังมีการทุจริตที่ชัดเจนคือการขายข้าวที่รับจำนำมาด้วยกระบวนการขายแบบ จีทูจี หรือรัฐต่อรัฐ แต่แท้ที่จริงไม่ใช่การขายแบบจีทูจีจริง กลายเป็นการขายให้พรรคพวกที่ปลอมเป็นบริษัทของรัฐบาลจีน ในราคาถูก ในที่สุดรมว. กระทรวงพาณิชย์ และข้าราชการประจำอีกหลายคน รวมทั้งเจ้าของบริษัทที่ซื้อข้าวถูกตัดสินจำคุกกันคนละหลายปี อีกทั้งคุณยิ่งลักษณ์ก็ต้องถูกศาลตัดสินจำคุกด้วย เนื่องจากปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริต
6. รัฐบาลคุณทักษิณขายหุ้นบริษัทชินคอร์ป ซึ่งมีสัมปทานดาวเทียมของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ คือเทมาเส็ก ของประเทศสิงคโปร์โดยมีการแก้กฎหมายให้เอื้อให้บริษัทต่างชาติสามารถถือหุ้นในสัดส่วนที่สูงขึ้นได้ อีกทั้งยังหลีกเลี่ยงไม่ยอมเสียภาษีแม้แต่บาทเดียว
7. คุณทักษิณยังมีคดีทุจริตเชิงนโยบายที่ค้างอยู่อีกหลายคดี เช่น กรณีสั่งให้ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้า ปล่อยเงินกู้ให้รัฐบาลพม่า เพื่อซื้อสินค้าจากบริษัทครอบครัวตัวเอง โดยไม่ต้องโอนเงินให้กับพม่า แต่ให้โอนจากธนาคารไปที่บริษัทดังกล่าวโดยตรง
8. แม้คุณทักษิณไม่ได้อยู่ในประเทศไทย แต่คุณทักษิณยังคงสั่งการต่อพรรคเพื่อไทย และพรรคในเครือเพื่อไทยได้เช่นเดิม ผู้บริหารพรรคเพื่อไทยหากจะตัดสินใจเรื่องในระดับนโยบาย ยังคงต้องบินไปขออนุญาตคุณทักษิณที่ดูไบเกือบทุกครั้ง จะเห็นว่ากรณีคุณหญิง สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ จะลงสมัครผู้ว่า กทม ก็ยังต้องขอไฟเขียวจากคุณทักษิณ
9. ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่พรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ต้องการให้ยกเลิก หากยกเลิกจริง พระมหากษัตริย์ก็จะไม่มีกฎหมายใดที่จะป้องกันการจาบจ้วง ล่วงละเมิดหรือหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ไม่สามารถฟ้องหมิ่นประมาทบุคคล เช่นเดียวกับประชาชนทั่วไปเมื่อถูกหมิ่นประมาทได้
10. คุณธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ต้องพ้นสภาพการเป็น ส.ส.เนื่องจากคุณธนาธรมีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทวีลัคมีเดีย ในวันที่สมัครรับเลือกตั้ง อันเป็นข้อห้ามตามกฎหมาย เป็นเพราะคุณธนาธรผิดพลาดเอง เนื่องจากไม่ได้โอนหุ้นให้ผู้อื่นก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง และมีพยานหลักฐานที่เชื่อได้ว่าคุณธนาธรพยายามทำหลักฐานการโอนหุ้นย้อนหลัง ไม่ใช่เป็นเพราะถูกศาลรัฐธรรมนูญกลั่นแกล้งแต่อย่างใด
11. คณะราษฎร แม้มีคุณูปการ ในการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แต่คณะราษฎรก็มีข้อผิดพลาดมากมาย พระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประทศ อีกทั้งยังมีการขัดแย้ง แย่งชิงอำนาจ ทำการรัฐประหารกันเอง ในบางรัฐบาลของคณะราษฎรเองก็มีพฤติกรรมไม่ต่างจากรัฐบาลเผด็จการ จึงยากที่จะบอกได้ว่า หากไม่มีการยึดอำนาจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ปล่อยให้มีการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป ตามที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเตรียมการไว้ ในวันนี้แบบไหนจะเป็นผลดีต่อประเทศชาติมากกว่ากัน
ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่ทราบข้อเท็จจริงข้างต้น แสดงว่าท่านยังไม่ได้ศึกษาข้อมูลอย่างรอบด้านเพียงพอ แต่หากท่านได้ศึกษาข้อมูลที่รอบด้าน และไตร่ตรองอย่างดีแล้ว จึงตัดสินใจเลือกข้าง หรือเข้าร่วมในม็อบปลดแอก เช่นนี้แล้ว จะไม่มีใครว่าอะไรได้เลย เพียงขอให้ระวัง 2 เรื่อง
หนึ่งคือระวังอย่าทำสิ่งผิดกฏหมาย ที่นอกเหนือจากการชุมนุม
สองคือระวังจะเกิดความรุนแรงจากม็อบชนม็อบ เช่น จากกลุ่มอาชีวะช่วยชาติ ที่กำลังก่อตัวขึ้น ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่
อย่าลืมว่า สถานการณ์ของประเทศขณะนี้ ไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อของผู้บริสุทธิ์ ...มันไม่คุ้มครับ