- 05 ต.ค. 2563
วิเคราะห์ให้จบ คุณหญิงพจมาน เลือกแล้ว เส้นทางการต่อสู้ทางการเมือง สู้ไปก็ไม่ชนะ ยุติทุุกปัญหากระทบครอบครัว เหลือแต่ม็อบส้มจะไปยังไปต่อจากนี้
ถือเป็นสัญญาณการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากปรากฎตัวต่อหน้าสื่อสาธารณะของ "คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร" จนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญภายในพรรคเพื่อไทยอย่างปัจจุบันทันด่วน ตามมาด้วยการประเมินความต่อเนื่องที่จะเกิดขึ้น กับการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาชนปลดแอก ซึ่งเดิมได้ฐานมวลชนคนเสื้อแดงเข้ามาเติมกำลัง ทดแทนกลุ่มนักเรียน นักศึกษา ที่ถอยห่างออกไป เพราะเป้าหมายของการเรียกร้องไปไกลถึงการคุกคาม กดดัน สถาบันเบื้องสูง
ล่าสุด รศ.หริรักษ์ สูตะบุตร อดีตรองอธิการบดีฝ่ายบริหารบุคคล มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์แสดงความเห็น ถึงสถานการณ์การเมืองในระยะนี้ "กราบของคุณหญิง พจมาน ดามาพงษ์ (ณ ป้อมเพชร ) ทำให้พรรคเพื่อไทยสั่นสะเทือนราวเกิดแผ่นดินไหวภายในพรรค ไม่น่าเชื่อว่า มีคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่ไม่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทยยังคงอยู่ภายใต้การครอบงำของคุณทักษิณ ชินวัตร และคุณหญิงพจมาน ดามาพงษ์ (ณ ป้อมเพชร )
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้ไม่ต้องถกเถียงกันอีกต่อไปว่า พรรคเพื่อไทยยังเป็นของครอบครัวชินวัตร หรือไม่ การตอบสนองความประสงค์ของคุณหญิงพจมานแบบยอมศิโรราบเช่นนี้ แปลว่าท่อน้ำเลี้ยงจะยังไม่ตัน น้ำเลี้ยงอาจไหลแรงกว่าเดิมมากเสียด้วย คุณหญิงพจมาน ทำเช่นนี้เพื่ออะไร คงเป็นไปไม่ได้ว่าคุณหญิงพจมาน จะลุกขึ้นมาทำแบบนี้โดยไม่มีต้นสายปลายเหตุ
ดังนั้น ความเป็นไปได้คือ คุณหญิงพจมาน หรือคุณทักษิณ อาจมีการเจรจาต่อรองแลกเปลี่ยนอะไรบางอย่างกับผู้มีอิทธิพลสูงถึงสูงที่สุดต่อรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ข้อแลกเปลี่ยนอาจเป็นเรื่องเกี่ยวกับลูก ที่จะยอมให้ติดคุกไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว หรือเกี่ยวกับตัวคุณทักษิณเอง ว่าจะสามารถกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องติดคุกได้หรือไม่ หรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับพรรคเพื่อไทยทั้งพรรค หรือเกี่ยวกับทั้งหมดทุกเรื่องที่กล่าวมา ทั้งหมดล้วนเป็นไปได้
การเมืองเสียอย่าง ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ ศัตรูกลายเป็นมิตร มิตรกลายเป็นศัตรู ได้เสมอ ทุกเวลา สังเกตุว่าคนที่ฝีปากกล้า ออกมาหาเรื่องโจมตีรัฐบาลทุกเรื่อง มีเหตุผลบ้าง ไร้เหตุผลบ้าง ล้วนถูกจับเข้ากรุ หรือถูกลดบทบาท ทั้งสิ้น
เมื่อเป็นเช่นนี้ คณะก้าวหน้า พรรคก้าวไกล กลุ่มปลดแอกทั้งหลาย คงต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ การชุมนุมวันที่ 14 ตุลา นี้ ที่ประกาศว่าจะชุมนุมกันอย่างยืดเยื้อ จึงหวังอะไรไม่ได้จากคนเสื้อแดง หากยังคงพุ่งเป้าที่การล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ การชุมนุมจะกร่อย ไม่สามารถยืดเยื้อได้แน่นอน เรามาคอยติดตามกันดูว่า อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป"
ขณะที่ นายอัษฏางค์ ยมนาค นักประวัติศาสตร์ แสดงความเห็นในประเด็นเดียวกัน ว่า "กราบเดียว...จบ เพื่อไทย...เท...ก้าหน้าก้าวไกล พรรคเพื่อไทย ที่เรารู้กันดีว่าจริงๆแล้ว เป็นพรรคเพื่อใคร ผู้ชายที่ชื่อทักษิณ ชินวัตร เป็นคนกัดไม่ปล่อย ไม่เคยยอมแพ้ ไม่เคยถอย แม้เท้าจะถอย แต่ใจไม่เคยถอย
ใครๆ ก็รู้ว่าพรรคเพื่อไทย มีใครเป็นเจ้าของ และตั้งมาเพื่อใคร และที่เรารู้กันดีอีกเช่นกันว่า ทั้วทั้งใต้หล้ามีคนที่ใหญ่กว่านายใหญ่ ก็คือหลังบ้านนายใหญ่ สาเหตุที่ใหญ่กว่านายใหญ่ได้ ไม่ใช่เพราะมีพลังมากกว่า แต่เพราะนายใหญ่รักและให้ความเกรงใจ
จากวันที่เท้าของนายใหญ่ถูกผลักให้ก้าวถอยหลัง แต่ในใจของนายใหญ่ไม่เคยถอยแม้แต่ก้าวเดียว มีแต่จะก้าวหน้า และก้าวไกล แต่นี่เวลาก็ล่วงเลยจนปาเข้าไปสิบกว่าปีแล้ว ยังก้าวไปไม่ถึงไหน มีแต่ก้าวหน้า ก้าวหลังเป็นจังหวะแทงโก้อยู่ร่ำไป
แถมชีวิตในเวลานี้ก็เป็นเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกทีๆ สมองของนายใหญ่อาจรู้ชะตากรรมหลายอย่าง และอาจพบอะไรบางอย่าง ว่าสงครามที่ไม่มีวันชนะหน้าตาและรสชาติเป็นอย่างไร แต่ใจที่ยังคงเติมเชื้อเพลิงให้มีไฟอยู่ตลอดเวลา และยังคงดันทุรังต่อไป แต่คนที่จิตใจที่สงบนิ่งที่สุด เย็บยะเยือกที่สุด มักเป็นคนที่มีวุฒิภาวะสูงที่สุด
เพราะเมื่อใจสงบ ก็จะพบทุกความจริง ความจริงที่ว่า เบื้องหน้า คือสงครามไม่มีวันชนะ ส่วนเบื้องหลังคือลูกๆ ที่ยืนอยู่บนฝั่ง มองพ่อแม่ลอยอยู่บนน้ำ เหมือนไม้ใกล้ฝั่ง เข้าไปทุกทีๆ และหลังจากสงครามผ่านไปสิบกว่าปี ยังพบอีกว่า ถึงเวลาเสียทีที่จะเอ่ยปากให้นายใหญ่หยุด
เมื่อนายใหญ่ถูกสั่งให้ก้าวถอยหลัง หลังจากพยายามจะก้าวไกลมาสิบกว่าปี แต่ยังก้าวอยู่กับที่ นายหญิงหลังบ้านนายใหญ่ก็ก้าวหน้าทันที ด้วยการ...ก้าวออกมากราบ กราบเดียว...จบ สยบพรรคเพื่อไทย สะท้านคณะก้าวหน้าเพื่อพรรคก้าวไกล ไปจนถึงม็อบปลดแอก
หลายคนอาจสงสัย ว่า...พรรคเพื่อไทยสู้เพื่อให้ทักษิณได้กลับบ้าน แล้วภารกิจยังไม่สำเร็จจะหยุดได้ยังไง ก็เพราะนายหญิงรู้แล้วว่าสู้ต่อไปยังไงก็ไม่มีวันสำเร็จ แถมลูกๆ ที่บ้านอาจอยู่ไม่เป็นสุขตลอดไป เมื่อถึงเวลาที่ไม้ใกล้ฝั่ง เข้าฝั่ง
ทุกสงครามในโลกนี้ ถ้าไม่แพ้ก็ชนะ ถ้าไม่ชนะก็แพ้ แต่ถ้ายอมรับความจริงว่าแพ้ก่อนที่จะแพ้ ก็ต้องยอมสงบศึก สงครามที่ออกไปรบกันในสนามรบ หรือสงครามที่รบกันในห้องแอร์ อย่างเช่นสงครามการเมือง ก็มีกลวิธีใกล้เคียงกัน และทุกสงครามในโลกนี้ ไม่มีมิตรและศัตรูถาวร
เพราะทั้งผู้ที่รู้ว่าตนเองไม่แพ้ก็ใช่ว่าอยากจะรบ แล้วผู้ที่รู้ว่าตนเองมีโอกาสแพ้จะยังอยากรบต่อทำไม ต่อให้ชนะสงครามก็เถอะ แต่สงครามมีแต่ความสูญเสียถ้าฝ่ายที่รู้ตัวว่าไม่มีวันชนะ “ยอมแพ้” ฝ่ายที่รู้ว่าไม่มีวันแพ้ก็พร้อมจะยอมสงบศึก ได้เหมือนกันไอ้คำว่า รบกันให้รู้แพ้รู้ชนะ ให้มันตายกันไปข้างหนึ่ง เป็นอุดมคติของจิ๊กโก้ยามสายยามบ่ายเท่านั้น แต่นักเลง-นักรบใหญ่ระดับชาติรู้ดีว่าสุดท้ายอาจจะตายทั้งคู่ ซึ่งไม่มีผลดีต่อใครเลย ไม่มีผลดีต่อทั้งนักรบ ต่อชาวบ้านและต่อประเทศชาติ
เราอาจคิดว่าคนที่พูดเก่ง เสียงดัง คือผู้ที่มีเพาเวอร์ที่สุด แต่ความจริงคนที่มีเพาเวอร์เหนือเพาเวอร์คือคนที่ไม่ค่อยพูด หรือพูดน้อยๆ และพูดเบาๆ น้ำไม่เคยไหม้ไฟ แต่น้ำดับไฟ ได้เสมอ เมื่อน้ำดับไฟได้แล้ว ที่นี่ลูกสมุนที่ยังมีไฟ ก็ถึงคราวไปไม่เป็น
กราบเดียวสะท้านแผ่นดิน แทนคำพูดว่า ถึงเวลาสิ้นสุดสงคราม หรืออย่างน้อยพักรบ หรือถอยสักก้าว จึงเป็นเวลาที่เพื่อไทย เท ก้าวหน้าก้าวไกล และอนาคตใหม่ เท ปลอดแอก หรือไม่ ไม่ฟันธง แต่คงต้องคอยดูกัน ก้าวหน้าก้าวไกลช่วยพรรคเพื่อไทยทำเพื่อทักษิณ แต่สุดที่รักของทักษิณ ทำเพื่ออนาคตของลูก เพื่อกล่องดวงใจของทักษิณ น้ำไม่เคยไหม้ไฟ แต่น้ำดับไฟ ได้เสมอ นี่คือความจริง หรือใครจะเถียง ใครคือน้ำ ใครคือไฟ ไปคิดดู
(เห็นมีหลายคนคอมเมนท์ว่า ไม่เชื่อว่าทักษิณจะได้กลับบ้าน หรือกลัวว่าทักษิณจะกลับมาแล้วก่อเรื่องอีก บทความนี้ ไม่มีตรงไหนบอกว่าทักษิณจะกลับบ้านเลยนะครับ สงครามอาจจะยังไม่จบ แค่สงบศึกหรือปรองดอง จะเรียกอะไรก็แล้วแต่ และฝ่ายที่ขอสงบศึก หรือปรองดอง สามารถมีข้อเรียกร้องที่สำคัญได้ด้วยเหรอครับ มีแต่จะยอมตามไม่ใช่หรือครับ เข้าใจใช่มั้ยครับ)