- 06 มี.ค. 2563
เกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด สำหรับโรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสโควิด -19 ที่กำลังระบาดในจีน โดยเริ่มมีการรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน จนตอนนี้โรคไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ยังกระจายไปทุกมณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ ของจีน และหลายประเทศทั่วโลกจนมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 93,000 ทั้งยังทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,200 คนและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีก
เกาะติดสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด สำหรับโรคปอดอักเสบชนิดรุนแรงที่เกิดจากไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ ไวรัสโควิด -19 ที่กำลังระบาดในจีน โดยเริ่มมีการรายงานว่าพบผู้ป่วยโรคนี้ครั้งแรกเมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2562 ที่เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ตอนกลางของประเทศจีน จนตอนนี้โรคไม่ได้จำกัดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว แต่ยังกระจายไปทุกมณฑลและเขตการปกครองอื่นๆ ของจีน และหลายประเทศทั่วโลกจนมีผู้ติดเชื้อแล้วกว่า 93,000 ทั้งยังทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 3,200 คนและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มมากขึ้นอีก
โดยข้อมูล ณ วันที่ 5 มี.ค. 2563 เวลา 09.30 น. ระบุว่ามีจำนวนผู้ป่วยสะสมทั่วโลก 95,477 คน แบ่งเป็น จีนแผ่นดินใหญ่ 80,409 คน นอกจีน 15,038 คน มีผู้เสียชีวิต 3,282 ราย แบ่งเป็นจีนแผ่นดินใหญ่ 3,012 ราย และนอกจีน 270 ราย
ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญนานาชาติรวม 25 คนเข้าไปในจีน และต่อไปนี้ก็คือ ข้อสรุปหลักๆ ของผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้หลังจากปฏิบัติงานผ่านไป 9 วัน ซึ่งทีมผู้เชี่ยวชาญนานาชาติ 25 คน ที่องค์การอนามัยโลกส่งเข้าไปสืบสวนสถานการณ์ในจีน สรุปว่า
กรณีส่วนใหญ่ (78-85%) เกิดจากการติดต่อกันในครอบครัวจากละอองเสมหะ (droplet) ไม่ใช่จากการกระจายจากละอองลอย (aerosol) เป็นหลัก
ส่วนใหญ่ของเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลที่ติดเชื้อ (จากทั้งหมด 2,055 คน) ติดเชื้อจากที่บ้าน หรือไม่ก็ติดเชื้อจากการระบาดในช่วงแรกที่ยังไม่มีการประกาศมาตรการรับมือโรคราว 5% ของคนที่วินิจฉัยว่าป่วย ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ อีก 15% ต้องใช้ออกซิเจนเข้มข้นสูง ช่วงการฟื้นตัวโดยเฉลี่ยราว 3–6 สัปดาห์ สำหรับรายที่อาการหนัก และ 2 สัปดาห์สำหรับรายที่ป่วยไม่มาก
จำนวนผู้ป่วยและช่วงเวลาที่ใช้รักษาเป็นภาระหนักเกินกว่าระบบที่อู่ฮั่นรองรับได้ จังหวัดหูเป่ย เมืองหลวงมณฑลอู่ฮั่นมีผู้ป่วยราว 65,596 คน (ข้อมูลวันที่ 2 มี.ค. 2563) มีการส่งคนไปช่วยรับมือที่หูเป่ย์ราว 40,000 คน ในอู่ฮั่นมีโรงพยาบาล 45 แห่งที่ใช้รองรับผู้ป่วย โดย 6 แห่งรองรับผู้ป่วยขั้นวิกฤติ และอีก 39 แห่งรองรับผู้ป่วยหนัก โดยเฉพาะกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี มีการสร้างโรงพยาบาลสนามขนาด 2,600 เตียงอย่างรวดเร็ว
ผู้ป่วยราว 80% มีอาการไม่หนัก มีโรงพยาบาลชั่วคราว 10 แห่งที่ปรับใช้จากการดัดแปลงยิมเนเซียมและห้องจัดแสดงนิทรรศการ
ขณะนี้ จีนผลิตชุดตรวจโรคโคโรนาไวรัสใหม่นี้ ราว 6 ล้านชุด/สัปดาห์ โดยรู้ผลการตรวจได้ในวันเดียว ใครที่มีไข้และไปพบแพทย์ จะได้รับการตรวจเบื้องต้นด้วยชุดตรวจนี้ ในเมืองกวางตุ้งที่ห่างจากอู่ฮั่น ได้ทดสอบกับคนไปแล้วรวม 320,000 คน และมี 0.14% ที่ตรวจแล้วพบไวรัส คนส่วนใหญ่ที่ได้รับเชื้อ มักจะมีอาการในที่สุด แม้ว่าจะช้าเร็วต่างกัน ในกรณีที่ตรวจพบไวรัสแต่ยังไม่มีอาการนั้น หายาก และส่วนใหญ่จะป่วยในอีกสองสามวันต่อมา
อาการที่พบบ่อยที่สุดคือ มีไข้ (88%) ไอแห้งๆ (68%) ไม่มีเรี่ยวแรง (38%) ไอแบบมีเสมหะ (33%) หายใจลำบาก (18%) เจ็บคอ (14%) ปวดหัว (14%) ปวดกล้ามเนื้อ (14%) หนาวสั่น (11%) อาการที่พบน้อยลงมาหน่อยคือ คลื่นไส้และอาเจียน (5%) คัดจมูก (5%) และท้องเสีย (4%)
อาการที่ไม่ใช่สัญญาณโรคของโควิด-19 คือ น้ำมูกไหล
จากการตรวจสอบคนจีนที่ติดเชื้อรวม 44,672 คน มีอัตราการเสียชีวิตอยู่ที่ 4% อัตราการเสียชีวิตขึ้นเป็นอย่างมากกับ อายุ, สภาพร่างกายก่อนติดเชื้อ, เพศ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ระบบสุขภาพที่รับมือโรค ตัวเลขการเสียชีวิตนับจนถึงวันที่ 17 ก.พ. ทุกรายสะท้อนผลระบบสุขภาพที่ใช้รับมือของจีน ซึ่งจะต่างออกไปเป็นอย่างมากในอนาคต สำหรับที่อื่นๆ
ระบบสุขภาพของจีน : คนที่ติดเชื้อในจีนราว 20% ต้องการการรักษาที่โรงพยาบาลนานหลายสัปดาห์ จีนมีโรงพยาบาลเพียงพอจะใช้รักษาประชากรได้ 4% ของทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอื่นๆ มีศักยภาพราว 0.1–1.3% และเตียงส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีผู้ป่วยโรคอื่นใช้อยู่แล้ว
วิธีการรับมือที่สำคัญแรกสุดที่จะช่วยป้องกันการกระจายของไวรัสได้อย่างชะงัด คือทำให้จำนวนผู้ป่วยหนักโรคนี้มีจำนวนน้อย และขั้นตอนสำคัญรองลงมาคือ การเพิ่มจำนวนเตียง (รวมทั้งวัสดุและบุคลากร) จนกว่าจะมีเพียงพอสำหรับผู้ป่วยหนัก จีนทดสอบการรักษาด้วยวิธีการที่หลากหลายกับโรคที่ยังไม่เป็นที่รู้จัก และนำวิธีการที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดไปใช้ทั่วประเทศ ด้วยวิธีการตอบสนองเช่นนี้เอง ที่ทำให้อัตราการตายลดลงกว่าเมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้
สภาพร่างกายก่อนการติดเชื้อ : อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อที่มีโรคระบบหลอดเลือดหัวใจในจีนคือ 2% ขณะที่สำหรับคนที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง (เบาหวานที่ไม่ควบคุม) อยู่ที่ 9.2% และ 8.4% สำหรับโรคความดันสูง, 8% สำหรับโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรัง และ 7.6% สำหรับโรคมะเร็ง
คนที่ไม่มีอาการป่วยใดๆ ก่อนติดเชื้อมีอัตราการเสียชีวิตที่ 1.4%
อายุ : ยิ่งอายุน้อย ก็ยิ่งติดเชื้อยาก และแม้จะติดเชื้อ ก็จะป่วยไม่หนักเท่ากับผู้ที่อายุมากกว่า
คำอธิบายตาราง : จากคนที่อาศัยในจีน, มี 13.5% ที่อายุระว่าง 20-29 ปี จากจำนวนผู้ติดเชื้อในจีน มี 8.1% ที่อยู่ในอายุกลุ่มนี้ (แต่ไม่ได้หมายความว่า มี 8.1% ของคนอายุ 20-29 ปีที่ติดเชื้อ) นี่หมายความว่า มีแนวโน้มที่ใครก็ตามที่มีอายุในช่วงนี้ จะมีโอกาสติดเชิ้อค่อนข้างต่ำกว่าเฉลี่ย และในกลุ่มอายุนี้ที่ติดเชื้อจะเสียชีวิต 0.2%
เพศ : ผู้หญิงมีโอกาสเป็นโรคเท่าๆ กับผู้ชาย มีหญิงชาวจีนเพียง 8% เท่านั้นที่ ติดเชื้อและเสียชีวิตจากโรคนี้ ขณะที่ผู้ชายราว 4.7% เสียชีวิต
โรคนี้รุนแรงในกลุ่มผู้หญิงมีครรภ์มากกว่ากลุ่มอื่น เด็กที่คลอดจากมารดาที่ติดเชื้อด้วยวิธีผ่าคลอดรวม 9 รายที่ตรวจสอบ สุขภาพแข็งแรงและไม่ติดเชื้อ มารดาเหล่านั้นติดเชื้อในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่า หากเกิดการติดเชื้อในช่วง 3 หรือ 6 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เด็กในท้องจะเป็นอย่างไร เพราะเด็กเหล่านี้ยังไม่ถึงกำหนดคลอดในปัจจุบัน
ไวรัสชนิดใหม่นี้ มีพันธุกรรม 96% เหมือนกับโคโรนาไวรัสที่รู้จักแล้วที่อยู่ในค้างคาว และเหมือนโคโรนาไวรัสในตัวนิ่ม (pangolin) 86-92% ดังนั้น มีความเป็นไปได้มากกว่า ที่มาของไวรัสใหม่นี้คือ ส่งผ่านไวรัสที่กลายพันธุ์จากสัตว์มายังคน นับตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคม จำนวนคนที่มีโคโรนาไวรัสในจีนค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง ถึงตอนนี้มีเพียง 329 รายที่วินิจฉัยพบใหม่ เทียบกับประมาณหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ที่พบราว 3,000 รายต่อวัน
รายงานสรุปว่า “ปรากฏการณ์ลดลงของจำนวนผู้ป่วยโควิด-19 ในจีนน่าจะเป็นเรื่องจริง” ผู้จัดทำรายงานสรุปว่า จากการตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ มีการลงลงของผู้ป่วยที่ไปยังโรงพยาบาลในบริเวณที่เกิดการระบาด, มีการเพิ่มขึ้นของจำนวนเตียงที่ว่าง, และนักวิทยาศาสตร์ชาวจีนเริ่มประสบปัญหาเรื่องการหาจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ๆ ให้มากพอ สำหรับใช้ในการทดสอบทางคลินิกของยามากมายหลายตัว
หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่เชื่อว่า ควบคุมการระบาดในจีนได้แล้วก็คือ มีการสัมภาษณ์คนที่ติดเชื้อทุกคนทั่วประเทศ เกี่ยวกับคนที่เคยสัมผัส และทดสอบคนกลุ่มดังกล่าวแล้ว โดยมีทีม 1,800 ทีมในอู่ฮั่นที่ทำเรื่องนี้ แต่ละทีมจัดการกับอย่างน้อย 5 คน แต่ความพยายามนอกอู่ฮั่นก็มากมายเช่นกัน เช่น [1] ในเซินเจิ้น ผู้ติดเชื้อระบุรายชื่อคนที่ติดต่อด้วยรวม 2,842 คน มีการค้นหาจนพบหมดทุกคน และมีการทดสอบไปแล้วถึง 2,240 ราย โดยมี 8% ในจำนวนนี้ที่ติดเชื้อ [2] ในจังหวัดเสฉวน มีคนที่ติดต่อด้วยที่ระบุชื่อไว้ 25,493 คน โดยพบตัวแล้ว 99% (25,347 คน) และตรวจสอบไปแล้ว 23,178 คน โดยพบว่ามีการติดเชื้อ 0.9% [3] ในจังหวัดกวางตุ้ง มีคนในรายชื่อที่ติดต่อกัน 9,939 คน พบตัวหมดแล้ว มีการตรวจสอบไปแล้ว 7,765 คน และพบติดเชื้อ 4.8% ซึ่งก็หมายความว่า หากบังเอิญคุณติดต่อโดยตรงกับคนที่ติดเชื้อ จะมีโอกาสติดเชื้ออยู่ระหว่าง 1–5 %
สุดท้ายนี้ นี่คือ คำกล่าวส่วนน้อยที่มาจากรายงานนี้ : “ความพยายามอย่างหนักของจีน ที่จะควบคุมการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วของเชื้อโรคชนิดใหม่ในระบบทางเดินหายใจนี้ ช่วยทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการยกระดับความรุนแรงและอันตรายของโรคระบาดอย่างรวดเร็วได้ เมื่อเผชิญหน้ากับไวรัสที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน จีนได้ลงมือลงแรงความพยายามในการควบคุมโรคอย่างทะเยอทะยานที่สุด รวดเร็วที่สุด และเข้มข้นที่สุด จีนไม่ประนีประนอมใดๆ และใช้มาตรการนอกเหนือจากทงเภสัชวิทยา เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของไวรัสก่อโรคโควิด-19 ที่หลายอย่างก็ได้มอบบทเรียนสำคัญให้กับการรับมือระดับโลก การตอบสนองเช่นนี้ถือได้ว่า มีความจำเพาะตัวและไม่เคยมีมาก่อนในด้านสาธารณสุขในจีน จนช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการเพิ่มจำนวนขึ้นของผู้ป่วยในหูเป่ย์ ซึ่งเป็นชุมชนที่เกิดการระบาดของโรคอย่างกว้างขวาง และเป็นจังหวัดที่สำคัญยิ่ง เพราะเป็นแหล่งตั้งต้นของกลุ่มครอบครัวที่ทำให้เกิดการระบาด"
“ชุมชนส่วนใหญ่ในโลกนี้ยังไม่พร้อมรับมือเรื่องนี้, ทั้งในแง่ของวิธีคิดและทางเครื่องใช้ไม้สอย, ไม่พร้อมที่จะใช้มาตรการแบบที่ใช้ควบคุมโควิด-19 ในจีน แต่มาตรการเหล่านี้เป็นเพียงมาตรการที่พิสูจน์แล้วในปัจจุบันเท่านั้นว่า สามารถหยุดยั้งหรือทำให้เกิดการแพร่เชื้อเป็นลูกโซ่ต่อถึงกันในมนุษย์ได้ พื้นฐานของมาตรการต่างๆ เหล่านี้ก็คือ การเฝ้าระหวังอย่างเข้มแข็งสูงสุดในการตรวจหาผู้ติดเชื้อให้ได้ไวที่สุด, ให้มีการวินิจฉัยโรคที่รวดเร็วมากๆ และการแยกผู้ป่วยอย่างทันที, การติดตามผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด และการกักกันตัวผู้ที่ติดต่อใกล้ชิด, รวมไปถึงการสร้างความรู้ความเข้าใจ และการยอมรับในมาตรการเหล่านี้ในระดับสูงอย่างไม่น่าเชื่อในหมู่ประชากร”
“โควิด-19 กำลังแพร่กระจายไปด้วยความรวดเร็วที่น่าทึ่ง : ไม่ว่าจะมองในด้านใด การระบาดของโควิด-19 ก็ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมากไปเสียหมด และจนถึงปัจจุบันนี้ ก็มีหลักฐานที่หนักแน่นแล้วว่า การใช้มาตรการแทรกแซงอื่นที่ไม่ใช่วิธีทางเภสัชวิทยา สามารถช่วยลดหรือแม้แต่หยุดยั้งการแพร่กระจายของโรคได้ การวางแผนรับมือระดับประเทศและระดับโลก แม้จะด้วยความห่วงใย แต่ก็บ่อยครั้งที่มักจะลังเลที่จะเข้าแทรกแซงด้วยมาตรการเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม การลดการเจ็บป่วยและล้มตายจากโควิด-19, การวางแผนเตรียมความพร้อมระยะใกล้ จะต้องนำเอามาตรการสาธารณสุขต่างๆ ที่ใช้การได้ดี แม้ไม่ใช่วิธีทางเภสัชวิทยามาใช้ด้วย มาตรการต่างๆ เหล่านี้จะต้องได้รับการนำมาใช้อย่างเต็มที่อย่างทันที ทั้งในการตiวจหาผู้ติดเชื้อ, การแยกกักกันตัว, การติดตามการสัมผัสใกล้ชิดอย่างเข้มงวด และการกักกันตัว/ติดตามตัว รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของชุมชน/ประชากรโดยตรง”