เช็กอาการโควิด-ไข้เลือดออก คล้ายกันจนแยกยาก ป่วยแบบนี้เข้าข่ายอาการใด

เกาะติดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย โดยเฉพาะโควิดสายพันธุ์โอไมครอน หรือ โอมิครอน (Omicron) ทำให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่อเนื่อง แม้ว่าสายพันธุ์โอไมครอน ถือว่าเป็นสายพันธุ์ที่แสดงอาการน้อย มีลักษณะคล้ายไข้หวัด หรือไข้เลือดออก แต่ก็สามารถแพร่กระจายเชื้อได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความกังวลให้กับให้ประชาชนจำนวนมาก จนเกิดแพนิคว่าถ้าเรามีอาการนี้จะป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่

 

สำหรับอาการโควิดโอไมครอน สามารถแพร่จากคนสู่คนได้ทางละอองฝอย เสมหะน้ำลาย ผ่านการสัมผัสเยื่อบุตา จมูก ปาก มักจะมีอาการดังนี้ ไอ , จาม , เป็นไข้ , มีน้ำมูก , ปวดศีรษะ , หายใจลำบาก และได้กลิ่นน้อยลง รวมไปถึงอาการเจ็บคอ, ปวดกล้ามเนื้อ, เหนื่อย, อ่อยเพลีย, ไอแห้ง และเหงื่อออกมากในเวลากลางคืน

ขณะที่ทางด้าน ศบค. ได้เปิดเผยข้อมูลอาการของผู้ติดเชื้อโควิดโอไมครอนในประเทศไทย ที่มีอาการ 41 ราย โดย 8 อาการที่พบมากที่สุด คือ อาการไอ 54 % , เจ็บคอ 37 %  , มีไข้ 29 % , ปวดกล้ามเนื้อ 15 % , มีน้ำมูก 12 % , ปวดศีรษะ 10 % , หายใจลำบาก  5 % , ได้กลิ่นลดลงมีเพียง  2 % และพบว่า 48% ไม่มีอาการ

 

ส่วนอาการไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค พบในประเทศเขตร้อนและระบาดในช่วงฤดูฝนของทุกปี อาการไข้เลือดออกที่แสดงออกอย่างชัด ๆ มีดังนี้ มีไข้สูงแบบเฉียบพลัน และต่อเนื่องเป็นเวลา 2-7 วัน ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามตัว ส่วนใหญ่มีอาการหน้าแดง อาจมีจุดแดงเล็ก ๆ ขึ้นตามลำตัว แขน ขา ไม่ไอ ไม่มีน้ำมูก มักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องและเบื่ออาหาร

อย่างไรก็ตาม ทางด้าน นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ ได้แนะนำว่าหากผู้ป่วยสงสัยว่าตัวเองมีอาการคล้ายไข้หวัด หรือแม้แต่ถ่ายเหลว ในเบื้องต้นให้ตรวจ ATK ได้ทันที ซึ่งหากเป็นผลลบ ก็ให้สังเกตอาการตัวเองใน 48 ชั่วโมง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้ไปโรงพยาบาล เพื่อให้แพทย์วินิจฉัยอาการโรคอื่นๆ เช่น ไข้เลือดออก เพื่อความปลอดภัยและรับการรักษาได้ทันต่อเวลา ทั้งนี้ อาการโควิดนอกจากจะใกล้เคียงกับโรคไข้หวัดแล้ว แต่ช่วงนี้ที่ต้องระวังเพิ่มขึ้นอาจจะเจอโรคไข้เลือดออกได้ ซึ่งจะมีอาการไข้ อ่อนเพลีย ด้วยเช่นกัน