- 24 ม.ค. 2566
เจ้าหน้าที่สืบสวน ตม.1 สืบจนเจอ ตามรวบก๊วนนักท่องเที่ยวจีน แอบลักลอบเปิดร้านอาหารกลางกรุง ทั้งหมดไม่มีใบอนุญาตทำงาน
ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ สตม. เป็นหน่วยงานหลัก ในการดำเนินการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด
โดยได้ตรวจสอบคนต่างด้าวที่มีพฤติการณ์ลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมาย หลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีเงิน อันเป็นการเอาเปรียบผู้ประกอบการที่ทำมาหากินโดยสุจริต รวมทั้งลักลอบจ้างคนต่างด้าวทำงานโดยฝ่าฝืนบทบัญญัติของกฎหมายในพื้นที่รับผิดชอบ ก่อนการเข้าจับกุม เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม กก.สส.บก.ตม.1 ได้รับแจ้งจากสายลับ
จนสามารถตรวจพบว่า สถานที่ดังกล่าวคือ ร้านอาหารเฉาซาน โอชา ถ.พระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ มีบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนลักลอบทำงานโดยผิดกฎหมายอยู่ในสถานที่ดังกล่าว ในลักษณะเป็นเจ้าของเอง ดำเนินการเอง และจ้างเพื่อนร่วมชาติ รวมทั้งแรงงานเถื่อนทำงานให้กับตน
เมื่อเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมมาถึง จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองพร้อมแสดงบัตรประจำตัวให้บุคคลต่างด้าวที่อยู่ในร้านดังกล่าวพบบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนอยู่ภายในร้านโดยนายหยาง อายุ 35 ปี สัญชาติ จีน กำลังนั่งจดบันทึก ทำบัญชีรายรับรายจ่ายภายในร้าน จากนั้นจึงได้เข้าตรวจสอบหลังร้านและบริเวณห้องครัวพบ นายชิน อายุ 38 ปี และนายเฉิน อายุ 31 ปี สัญชาติ จีน กำลังทำอาหารจีน อยู่ในครัว
ระหว่างตรวจสอบพบผู้ถูกจับไม่สามารถแสดงเอกสารหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ จึงได้แสดงภาพถ่ายหน้าหนังสือเดินทางให้เจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่ตรวจจากระบบสารสนเทศตรวจคนเข้าเมืองแบบเคลื่อนที่ พบว่า
นายหยาง นายชิน และนายเฉิน ผู้ถูกจับ เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรครั้งล่าสุดโดยได้รับการตรวจลงตราให้พำนักในราชอาณาจักร เพื่อท่องเที่ยว โดยผู้ถูกจับทั้ง 3 คนไม่มีใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาทั้งหมดฐาน “เป็นบุคคลต่างด้าวทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน” ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
อนึ่ง ความผิดในข้อหาดังกล่าวแม้มีโทษเพียงการปรับในชั้นศาล แต่ผู้ถูกจับจะต้องถูกเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ถูกบันทึกเป็นบุคคลต้องห้าม หรือ blacklist ห้ามเข้ามาในราชอาณาจักร และถูกส่งกลับประเทศต้นทางต่อไป
ติดตามข้อมูลข่าวสารเพิ่มเติมที่ thainews