- 30 มี.ค. 2566
"อ.เจษฎ์" ได้ออกมาไขข้อข้องใจ หลังมีกลุ่มที่อ้างความเชื่อพื้นบ้าน ศาสตร์อินเดีย ฯลฯ ดื่มน้ำปัสสาวะ ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซี
"อ.เจษฎ์" ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ ได้ออกมาโพสต์ข้อความระบุ
"ดื่มน้ำปัสสาวะ ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซี ไม่ได้นะครับ"
ในเมืองไทยเรา มีกลุ่มที่อ้างความเชื่อพื้นบ้าน ศาสตร์อินเดีย ฯลฯ เรื่อง "ดื่มน้ำปัสสาวะ" ที่แม้จะกลุ่มไม่ค่อยใหญ่ แต่ก็มีผู้ติดตามผู้ทำตามเยอะอยู่เหมือนกัน ประเด็นคือ ถ้าเป็นการดื่มปัสสาวะเพื่อส่งเสริมสุขภาพ (ตามความเชื่อของตนเอง) ก็คงจะไม่เป็นไรมาก แต่ถ้าดื่มเพื่อรักษาหรือป้องกันโรค อันนี้ไม่ถูกต้องครับ !
ในทางการแพทย์กระแสหลัก น้ำปัสสาวะไม่ได้จะนำมารักษาอะไรต่างๆ ได้ และอย่างกรณีที่มีการแชร์ข้อความกันว่า " น้ำปัสสาวะ ดื่มทุกวัน สามารถฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้ภายใน 8 เดือน โดยไม่ต้องกินยา" อันนี้ก็ไม่ถูกต้องครับ ! ไม่มีหลักฐานข้อชี้บ่งอะไร ว่าน้ำปัสสาวะที่ดื่มเข้าไปจะมีสารที่ฆ่าเชื้อไวรัสตับอักเสบซีได้
ข้อมูลจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เตือนความเชื่อที่ว่า “ดื่มปัสสาวะรักษาโรคได้" นั้น ว่าไม่จริง ! เพราะสารต่าง ๆ ที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ เกือบทั้งหมดนั้นเป็นสารของเสีย ที่เกิดจากการเผาผลาญของร่างกายและร่างกายไม่ต้องการใช้ ถ้ากลับไปคั่งค้างในร่างกาย จะเกิดผลเสียได้
ส่วนประกอบในปัสสาวะ มี 3 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
- กลุ่มสารหรือของเสียที่ร่างกายกำจัดออก (Metabolic waste) ที่เกิดจากการสันดาปของร่างกาย ได้แก่ ยูเรีย จากการเผาผลาญโปรตีนและกรดอะมิโน , กรดยูริค (Uric acid) จากการสลายสารอาหารกลุ่มพิวรีน , สารประกอบคีโตน (Ketone compounds) จากการสลายไขมัน
- ยาหรืออนุพันธ์ของยา ที่รับประทานเข้าไป
- เชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย ที่อาจปนเปื้อนออกมา
การดื่มปัสสาวะตนเองอาจส่งผลกระทบต่างๆ ได้ เช่น
- หากดื่มในขณะท้องว่าง อาจทำให้เกิดผลเสียต่อเยื่อบุผนังลำคอ หลอดอาหาร กระเพาะอาหารได้ เนื่องจากปัสสาวะมีความเป็นกรด (มีค่า pH ประมาณ 5 – 6.5)
- มีโอกาสได้รับสารอนุพันธ์ของตัวยา (ที่ร่างกายพยายามขจัดออกทางปัสสาวะ) กลับเข้าสู่ร่างกายอีกครั้ง เพิ่มความเสี่ยงของการสะสมยาในร่างกายมากเกินไป
- มีความเสี่ยงของเชื้อโรค ที่อาจปะปนมากับปัสสาวะ หรือ เกิดจากการจัดเก็บปัสสาวะไม่ดี หรือ เก็บไว้เป็นระยะวลานานเกินไป
ขณะที่ สารที่ประโยชน์และอาจพบได้บ้างในปัสสาวะ ก็คือฮอร์โมนบางประเภท เช่น ฮอร์โมน ยูโรไคเนส urokinase ที่มีคุณสมบัติละลายลิ่มเลือดได้ แต่ก็เป็นปริมาณที่น้อยมาก
สรุปคือ การดื่มน้ำปัสสวะทำให้เกิดผลเสียต่อร่างกายมากกว่าผลดี ที่สำคัญคือทำให้มีการสะสมของเสีย (ซึ่งร่างกายต้องการขจัดทิ้งไปแล้ว) กลับเข้าไปหมุนเวียนเข้าสู่ร่างกายอีกครั้งหนึ่ง จึงไม่แนะนำให้ปฏิบัติตาม
ส่วนเรื่อง "โรคไวรัสตับอักเสบซี" นั้น ทางโรงพยาบาลจุฬาฯ ก็ได้ให้คำแนะนำเรื่องโรคไว้ว่า เป็นโรคร้ายแรง นำไปสู่การเป็นมะเร็งตับได้ แต่ถ้ารักษาเร็ว ก็หายขาดได้ (แต่ไม่ใช่ว่าจะรักษาด้วยการดื่มน้ำปัสสาวะ)
โรคไวรัสตับอักเสบซี เป็นโรคติดต่อทางเลือดหรือเพศสัมพันธ์ คล้ายกับโรคไวรัสตับอักเสบบี ระยะแรกจะทำให้เกิดตับอักเสบเฉียบพลัน แต่โดยมากผู้ป่วยมักจะไม่แสดงอาการ หากปล่อยไว้โดยไม่รีบรักษา นำไปสู่ภาวะตับแข็งและมีโอกาสเกิดมะเร็งตับได้
กลุ่มเสี่ยง ได้แก่ ผู้ที่มีประวัติรับเลือดก่อน พ.ศ. 2534 (ปีที่เริ่มมีการตรวจหาเชื้อไวรัส) , ผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด , ผู้สักลายด้วยเครื่องมือที่ไม่สะอาด , ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรัง ที่รักษาด้วยการล้างไต , ผู้ป่วยเอชไอวี
การป้องกันตนเองจากการติดโรคไวรัสตับอักเสบซี คือ หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์สัก หรือเข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น , สวมถุงมือหากต้องสัมผัสเลือด , สวมใส่ถุงยางอนามัยหากมีคู่นอนหลายคน , ตรวจร่างกายเพื่อประเมินการทำงานของตับเป็นประจำทุกปี
ขอบคุณข้อมูล chulalongkornhospital