- 28 พ.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
กลายเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่สร้างความเสร้าสะเทือนใจเป็นอย่างยิ่ง เมื่อพ่อรายหนึ่งเดินทางมาที่มูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี ถนนรังสิต-นครนายก คลอง 7 อ.ธัญบุรี จ. ปทุมธานี นายเอก (นามสมมติ) อายุ 52 ปี ชาวจ.สมุทรปราการ อาชีพรับเหมาทำระบบไฟ พร้อมด.ช.บอย(นามสมมติ) อายุ 14 ปี ลูกชาย เข้าร้องทุกข์ต่อนางปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาฯ
โดยนายเอกขอความช่วยเหลือให้ช่วยติดตามหาพ่อแม่ที่จริงของด.ช.บอย หลังให้การเลี้ยงดูมาเสมือนลูกแท้ๆ ตลอดเวลากว่า 14 ปี แต่เพิ่งมารู้ความจริงว่าไม่ใช่ลูกแท้ๆ และการตามหาครั้งนี้ก็เพื่อจะได้ให้ทางพ่อแม่ที่แท้จริงของด.ช.บอยนั้น ได้จัดการทำเรื่องยกลูกให้เป็นบุตรบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฏหมาย และเด็กจะได้ทำบัตรประชาชนและเรียนต่อได้
นายเอก กล่าวว่า ตนอยู่กินกับนางโบ (นามสมมติ) อายุ 47 ปี ภรรยา ซึ่งเป็นชาวอ.ถลาง จ.ภูเก็ต มานานกว่า 15 ปี มีลูกชายคนเดียว คือ ด.ช.บอย ก็รักและเลี้ยงดูมาอย่างดี เมื่อไม่กี่เดือนมานี้ภรรยาตนได้ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ต ต่อมาตนจะพาลูกชายไปทำบัตรประชาชนจึงได้ค้นหาเอกสารสูติบัตรก็พบว่าตู้เอกสารที่ภรรยาเก็บไว้ถูกล็อคกุญแจไว้อย่างแน่นหนา
จึงสงสัยและช่วยกันกับลูกงัดกุญแจออกก็พบเอกสารจำนวนมาก ทั้งใบสูติบัตร ระเบียนผลการเรียนของด.ช.บอย แต่เมื่อตรวจสอบดูก็ต้องแปลกใจเนื่องจากเอกสารทั้งหมดมีการแก้ไขชื่อนามสกุล ของด.ช.บอย โดยใช้ลิปควิกลบก่อนถ่ายเอกสารขึ้นมาใหม่ โดยในสำเนาใบสูติบัตรได้ระบุชื่อ นามสกุล ของเด็กชายอีกคนที่เกิดวัน เดือน ปีเดียวกับลูกชายตน และชื่อพ่อแม่ที่ให้กำเนิดเป็นชาวจ.สกลนคร เมื่อตนถามลูกชายตนก็บอกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม่ให้ใช้ชื่อนามสกุล คนละแบบกับที่พ่อตั้งให้และแม่สั่งว่าห้ามไปบอกพ่อ มิฉะนั้นแม่จะอยู่ที่บ้านไม่ได้ ลูกชายก็เลยเก็บเป็นความลับมาตลอด ทั้งที่ไม่รู้ว่าความจริงมันคืออะไร
ต่อมาตนได้ประมวลเรื่องราวทั้งหมดถึงจะเอะใจคิดได้ว่าด.ช.บอย อาจจะไม่ใช่ลูกของตนเองจริงๆ เพราะเมื่อ 15 ปีก่อน ตนต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดเป็นประจำ ครั้งละเป็นเดือน นานๆจะได้กลับมาบ้านสักที วันหนึ่ง นางโบได้บอกตนว่าตัวเองท้องจึงขอกลับบ้านไปอยู่กับญาติที่ภูเก็ตเพื่อจะได้มีคนดูแลตนก็เห็นด้วย จากนั้นนางโบก็ให้ตนโอนเงินให้เป็นประจำ ครั้งละ 1-2 แสนบาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
เมื่อเวลาจะขอไปเยี่ยมก็ปฏิเสธจนวันหนึ่งนางโบก็โทรศัพท์มาบอกว่าคลอดลูกแล้วให้ตนไปรับกลับมาบ้าน เมื่อไปถึงภูเก็ตนางโบก็ไม่ยอมให้ตนไปรับที่บ้าน กลับให้ไปรับที่ห้องเช่าแห่งหนึ่ง ซึ่งตนก็ยังสงสัยแต่เมื่อเห็นหน้าลูกก็ดีใจจนไม่ได้คิดหรือถามซักไซ้อะไรมาก ก่อนพากันมาอยู่บ้านที่จ.สมุทรปราการ
โดยนางโบจะดำเนินการเรื่องพาลูกเข้าโรงเรียน พาลูกไปหาหมอเองทุกครั้ง เวลาที่เอาใบผลการเรียนลูกมาให้ดูก็เป็นใบถ่ายเอกสารตนก็ไม่ได้สังเกต จนเรื่องมาแดงขึ้นตนก็เกรงว่านางโบอาจจะไปขโมยลูกใครมา เพราะเมื่อถามไปก็จะได้รับคำตอบบ่ายเบี่ยงทุกครั้ง
ล่าสุดอ้างว่าด.ช.บอย เป็นลูกของเพื่อน ซึ่งทางนั้นมีลูก 6 คน เลี้ยงไม่ไหวเลยยกให้ ที่ทำไปเพราะตัวเองมีลูกไม่ได้และอยากมีลูกมากและกลัวว่าสามีจะไม่รัก ตนสงสารลูกมากตั้งแต่รู้ความจริงก็ไม่กล้าไปโรงเรียนเพราะอายเพื่อน และกลัวพ่อจะไม่รักเมื่อรู้ว่าไม่ใช่ลูก ซึ่งตนก็ได้ปลอบใจลูกและถือว่าด.ช.บอยเป็นลูกชายของตนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ส่วนภรรยาของตนหลังทุกคนรู้ความจริงก็ขอกลับไปเยี่ยมญาติที่ภูเก็ตและไม่เดินทางกลับมา ตนได้บอกเรื่องนี้กับพี่สาวและปรึกษากันก่อนตัดสินใจเข้าร้องทุกข์มูลนิธิปวีณาฯ
ด.ช.บอยที่ระบุในสูติบัตร โดยพบว่าพ่อแม่ของด.ช.บอย อาศัยอยู่ในต.นาตาล อ.เต่างอย จ.สกลนคร จริง ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่ไปสอบถามเบื้องต้นทั้งสองสามีภรรยาก็ยอมรับว่าได้เคยให้ลูกชายกับนางโบไปจริง เนื่องจากมีลูกหลายคนฐานะยากจนกลัวเลี้ยงไม่ไหว และก็พร้อมที่จะดำเนินการรับรองด.ช.บอย เพื่อให้ได้ทำบัตรประชาชน และยกด.ช.บอยให้เป็นบุตรบุญธรรมของนายเอกให้ถูกต้องตามกฏหมาย และวันจันทร์ที่ 29 พ.ค.นี้ เวลา 10.00 น. นางปวีณาจะได้พาสองพ่อลูกเดินทางไปที่อำเภอเต่างอยด้วยตนเอง เพื่อพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงของด.ช.บอย ทำบัตรประชาชน และทำบันทึการยกลูกให้นายเอกให้เรียบร้อย ต้องขอขอบคุณ นายทศพล สินยบุตร นายอำเภอเต่างอยอย่างมาก หลังประสานงานไปก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างดีและรวดเร็ว
ทั้งนี้หลังด.ช.บอย มีบัตรประชาชนก็จะได้รีบมาสมัครเรียนต่อในชั้น ม.2 และได้พบกับพ่อแม่ที่แท้จริง จากนั้นก็จะได้ใช้ชีวิตปกติ โดยนายเอกกับด.ช.บอยก็ยืนยันว่า แม้จะไม่ใช่พ่อลูกที่แท้จริงแต่ความรักพ่อลูกที่มีต่อกันจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปแน่นอน