- 10 พ.ค. 2561
ติดตามข่าวสารได้ที่ www.tnews.co.th
ฮือฮาขึ้นมาอีกครั้ง สำหรับ “เสนาะ เทียนทอง” หลังจากที่ นายไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา และกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) โพสต์เฟซบุ๊กไปนั่งกินกาแฟ สำหรับ นายเสนาะ ในวัย84 ปี ซึ่งต้องถือว่า”หง่อม”เต็มทีแล้ว แต่อาจจะยังติดกับบทบาททางการเมืองเดิมของตัวเอง ที่ผู้คนยกย่องเชิญชูว่าเป็นผู้มีบารมีทางการเมือง "ผู้จัดการรัฐบาล" มีบทบาทสนับสนุน หัวหน้าพรรคการเมืองขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เพราะสามารถ ทำให้ นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นหัวหน้าพรรคชาติไทย ได้เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อ พ.ศ. 2538
เมื่อ พ.ศ. 2539 หลังจากนายบรรหาร ประกาศยุบสภา เข้าร่วมพรรคความหวังใหม่ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค ส่งให้พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ เป็นนายกรัฐมนตรี ในปีเดียวกัน
หรือแม้แต่นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งในเวลาต่อมา นายเสนาะ ได้ย้ายมาสังกัดพรรคไทยรักไทยและสนับสนุนให้นายทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรี ครั้งแรกในปี 2544 โดยนายเสนาะรับตำแหน่งประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทย
แต่แท้จริงแล้วมันเป็นขบวนการทางการเมืองที่มีการกวาดต้อนส.ส.เข้ามา และถือเป็นการเมืองในยุคเก่า หากว่าเรามาลงดูพฤติกรรมอย่างละเอีดยดของนายเสนาะแล้ว จะเห็นได้ว่าเติบโตมาจากนักการเมืองท้องถิ่น ที่เข้ามาอาศับบารมีในพรรคชาติไทย ในยุคของ”กลุ่มซอยราชครู” นำโดย พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร, พล.ต.ศิริ สิริโยธิน และพล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ (ยศในขณะนั้น) นำพาพรรคชาติไทยอยู่
ที่น่าสนใจก็คือตอนที่นายเสนาะ มาร่วมพรรคกับนายทักษิณนั้น เป็นที่โจษจัน ลือเลื่องไปทั่วคุ้มน้ำ สำรับกรณีการแลกเปลี่ยนสนามกอล์ฟอัลไพน์บนที่ธรณีสงฆ์ ที่นายเสนาะได้ขายให้กับนายทักษิณ...
ก่อนหน้านี้ที่ดินดังกล่าวเป็นความตั้งใจแรกเริ่ม ของคุณยายเนื่อม ชํานาญชาติศักดา เจ้าของที่ดินเดิมที่ตั้งใจจะมอบ ที่ดินดังกล่าวให้กับทางวัดวัดธรรมมิการามวรวิหาร ที่ตั้งอยู่ที่ประจวบขีรีขัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ทางวัดปล่อยให้เช่า และเก็บดอกผลไปทะนุบำรุงวัด เมื่อคุณยายเนื่อม เสียชีวิต ทางวัดธรรมมิการามได้ยื่นขออนุญาตต่อ รมต. มหาดไทย เพื่อขอมีที่ดินตามที่พินัยกรรมของคุณยายเนื่อมระบุ ซึ่งกฎหมายที่ดินมีบัญญัติไว้ว่า " การได้มาซึ่งที่ดินของวัดต้องได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรี และให้ได้มาไม่เกิน 50 ไร่ แต่ในกรณีที่เห็นเป็นการสมควรรัฐมนตรีจะอนุญาตให้ได้มาเกิน 50 ไร่ก็ได้ "
จะด้วยเหตุผลกลใดก็ตามแต่ นายเสนาะ ซึ่งเป็น รมช. มหาดไทยควบคุมกำกับดูแลกรมที่ดิน ในเวลานั้น ได้มีคำสั่ง"ไม่อนุญาต"ให้ที่ดินตกเป็นของวัด ตามที่พินัยกรรมระบุยกให้ แต่กลับให้น้องชายของตนเองจัดตั้งบริษัทขึ้น โดยมีนางอุไรวรรณ เทียนทอง(เมียนายเสนาะ) นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ เป็นผู้ถือหุ้น แล้วไปซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากผู้จัดการมรดกของคุณยายเนื่อม ในราคา 142 ล้านบาท จากนั้นในวันเดียวกันนั้นเอง ได้นำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองที่ดินกับธนาคารเป็นเงิน 220 ล้านบาท แล้วนำมาทำเป็นสนามกอล์ฟ และทำบ้านจัดสรรขาย ชื่อว่า อัลไพน์
แต่ฟ้ายังมีตาเมื่อกรมการศาสนา รับทราบถึงขบวนการดังถือว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ทางกรมการศาสนาจึงได้ทำเรื่องดังกล่าวไปยังกรมที่ดิน จากนั้นกรมการศาสนาและกรมที่ดิน จึงทำเรื่องไปยัง สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ให้ตีความกรณีดังกล่าวว่าถูกต้องหรือไม่ ต่อมาสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ตีความเรื่องดังกล่าว ไม่ถูกต้อง
ประจบเหมาะกับสถานการณ์การเมืองในขณะนั้น นายทักษิณ ชินวัตร อยากจะชวนนายเสนาะ เทียนทอง มาเข้าร่วมพรรคด้วย จะด้วยเหตุผลนี้หรือไม่ก็ตามแต่ นายเสนาะหรือตระกูลของนายเสนาะ จึงได้ขายที่ดินผืนดังกล่าวให้นายทักษิณ ในราคา 500 ล้านบาท จากนายเสนาะก็ได้เข้าร่วมพรรคกับนายทักษิณ จัดตั้งรัฐบาล นายทักษิณได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งตรงกับอธิบดีกรมที่ดิน นายประวิทย์ สีห์โสภณ ในขณะนั้น ทวงที่ดินกลับไปให้วัด และในความพอดิบพอดีขณะนั้นกระทรวงมหาดไทยมีรองปลัดที่ชื่อว่า นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ และรักษาการแทนปลัดได้มีการขอยกเลิกคำสั่งการทวงคืนที่ดินของอธิบดีกรมที่ดิน
ทั้งๆที่ตอนนั้น สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกามีหนังสือถึงอธิบดีกรมที่ดิน และปลัดกระทรวงมหาดไทย โดยแจ้งว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้วินิจฉัยว่า ที่ดิน ที่ถูกทำเป็นสนามกอล์ฟอัลไพน์นั้นเจ้าของเดิมทำพินัยกรรมยกให้แก่วัดธรรมมิการามวรวิหารและตกเป็นกรรมสิทธิ์ของวัดตั้งแต่ผู้ทำพินัยกรรมเสียชีวิต จึงเป็นที่ธรณีสงฆ์ที่ไม่สามารถ จำหน่าย จ่าย โอนได้
ดังนั้น การที่ นายยงยุทธ ผู้รักษาราชการแทนปลัดกระทรวงมหาดไทยสั่งเพิกถอนคำสั่งของอธิบดีกรมที่ดินที่ให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่บริษัททั้งสองดังกล่าว ขัดต่อกฎหมายอย่างชัดเจน
ในขณะที่ นายยงยุทธ ผู้ออกคำสั่งเพิกถอนคำสั่ง ถูกศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ กลาง พิพากษาให้จำคุกนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ 2 ปีโดยไม่รอลงอาญา คดีนี้อยู่ในระหว่างอุทธรณ์ ต้นเรื่องในการโกงครั้งนี้กลับยังลอยนวล มีความสุขอยู่บนกองเงินกองทองที่รวมกันฉ้อฉลมาได้นับร้อยๆล้านบาท
อีกทั้งการที่นายเสนาะออกมาเสนอรัฐบาลแห่งชาติ ถือเป็นการเพ้อฝันทางการเมืองเพราะการเมืองไทยชัดเจนอยู่แล้วว่ามี2ขั้ว ขั้วแรก คือขั้วที่ไม่เอาทักษิณ ชินวัตร ชัดเจนว่ามีกลุ่มพลังมวลชนให้การสนับสนุนชัดเจนอันได้แก่กลุ่มคนเสื้อแดง นปช. และพรรคเพื่อไทย น่าสนใจว่ากลุ่มคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งได้มีกลุ่มที่อยู่ในขบวนการล้มเจ้า ซึ่งได้มีพฤติกรรมจาบจ้วง ล่วงเกินสถาบันอย่างชัดเจน ส่วนนายทักษิณจะร่วมด้วยหรือไม่นั้น ก็ตามแต่ ข้อเท็จจริงนายทักษิณได้มีพฤติกรรมเข้าไปเกี่ยวข้องกับคนกลุ่มนี้ อย่างเช่น...
ที่สำคัญในกรณีที่นายทักษิณ ฟ้องร้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ที่ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนทำนองว่า นายทักษิณไม่ยอมแพ้ทางการเมือง และต้องการจะกลับมาเป็นประธานาธิบดี นั่นหมายความว่ามีพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งท้ายสุดศาลฎีกายกฟ้อง ยืนตาม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ที่พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การกระทำของนายสุเทพ เป็นการแสดงความคิดเห็นโดยสุจริต ศาลชี้ชัดมีหลักฐาน พฤติกรรมนายทักษิณอันไม่เหมาะสมต่อองค์พระมหากษัตริย์-จ้องล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ อ้างผู้มีบารมีเหนือรัฐธรรมนูญมาก่อความวุ่นวายต่อระบอบประชาธิปไตย พร้อมยอมรับคนเสื้อแดงเป็นพลังสนับสนุนที่สำคัญของโจทก์ โดยมีการตั้งโต๊ะเสนอให้ยกเลิกประมวลกฎหมายอาญาข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
ขณะขั้วที่สอง คือขั้วที่ไม่เอาทักษิณ วันนี้ก็แตกเป็น สองพวก นั่นคือฝั่งที่เชียร์พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝั่งที่เชียร์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จากพรรคเก่าแก่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ โดยนายอภิสิทธิ์ ก็ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าจะไม่สนับสนุน และไม่เอาเผด็จการทุกรูปแบบ นัยหนึ่งก็หมายความว่าไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ เช่นเดียวกัน
ดังนั้นการที่จะเอากลุ่มคนทั้งหมดว่ารวมกัน อย่าง”รัฐบาลแห่งชาติ” โดยมีพล.อ.ประยุทธ์ เป็นรัฐมนตรี ตามคำที่นายเสนาะว่าไว้ จึงกลายเป็นเรื่องเพ้อฝัน ซึ่งการเมืองที่ถูกต้องและเป็นจริง คือการเดินหน้าเรื่องการเลือกตั้งต่อไป และต้องทำให้ระบอบทักษิณไม่สามารถกลับมามีอำนาจ แล้วสร้างความแตกแยกให้กับบ้านเมือง โดยใช้กลไกลของกฏหมายเดินไปตามกระบวนยุติธรรม ตามครรลอง บ้านเมืองก็จะกลับมาสู่ความสงบ สามารถพัฒนาประเทศให้เดินต่อไปข้างหน้า