- 01 ส.ค. 2561
เป็นเวลาเกือบ2ปี สำหรับทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินหน้าตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดชนิดที่เรียกว่าขุดรากถอนโคน
เป็นเวลาเกือบ2ปี สำหรับทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) เดินหน้าตรวจสอบทุจริตเงินทอนวัดชนิดที่เรียกว่าขุดรากถอนโคน ภายหลังจากกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ หรือปปป.ส่งสำนวนคดีให้ ปปช.ชี้มูลความผิดแล้ว 3 ล็อต จนนำมาสู่ปฏิบัติการบุกค้นเป้าหมาย 10จุด
ในการจับกุมผู้กระทำความผิดในคดีเงินทอนวัดล็อต 3 ตามหมายศาล ซึ่งผู้ต้องหาส่วนใหญ่มีชื่อในคดีเงินทอนวัดล็อต 1 และล็อต 2 อยู่แล้ว แต่ยังไม่มีการจับกุม ดังนั้น วันนี้ (1ส.ค.) กองปราบปราม จึงเข้าจับกุมผู้ต้องหาตามที่มีชื่อในภูมิลำเนา
1 นายพนม ศรศิลป์ อดีต ผอ.พศ. ซึ่งมีชื่อปรากฏพบว่าได้กระทำผิดในล็อตที่ 2 ด้วย ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 22 ก.ย.2560 ตำรวจเข้าค้นบ้านหรูย่านพุทธมณฑลสาย 4 เมื่อเปิดเซฟ พบทองคำแท่ง 80 บาท โฉนดที่ดิน และเอกสารอื่น อายัดไว้เป็นหลักฐาน
2 นายแก้ว ชิดตะขบ ผอ.การสำนักงานพระพุทธศาสนา จังหวัดสมุทรสงคราม พบว่าทำผิดในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 2
3 นางประนอม คงพิกุล รอง ผอ.พศ. พบว่าทำผิดในคดีเงินทอนวัดทั้งล็อตที่ 1 และ 2
4 นายณรงค์เดช ชัยเนตร ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) สิงห์บุรี พบว่าทำผิดในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 2
5 นายชยพล พงษ์สีดา อดีตรองผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาคนใหม่ของคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 3 โดยโอนเงินไปยังวัดแห่งหนึ่งใน จ.ลำปาง และมีการเรียกรับเงินทอนกลับมา
6 นายวสวัสดิ์ กิตติธีระสิทธิ์ ผอ.ส่วนบูรณะพัฒนาวัดและการศาสนสงเคราะห์ พศ. พบว่าทำผิดในคดีเงินทอนวัดทั้งล็อตที่ 1 และ 2 เช่นกัน
7 นายบุญเลิศ โสภา อดีต ผอ.กองพุทธศาสนศึกษา เป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด (พศจ.) ลำปาง พบว่าทำผิดในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 2
8 นายพัฒนา สุอำมาตย์มนตรี นักวิชาการศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนา (พศจ.) นครปฐม ทำผิดในล็อตที่ 2 ซึ่งเมื่อวันที่22 ก.ย.2560 ตำรวจค้นบ้านย่านสามพราน จ.นครปฐม พบเงินสด 1 แสนบาท เอกสารเกี่ยวกับงบประมาณอุดหนุนวัด สมุดบัญชีธนาคาร และเครื่องคอมพิวเตอร์
9 นางพรเพ็ญ กิตติธรางกูร ผอ.กลุ่มการศึกษาพระปริยัติธรรม แผนกสามัญ พศ. ทำผิดในคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 2
และ 10 นายเจษฎา วงศ์เมฆ อาชีพผู้รับเหมา เป็นผู้ต้องหาคนใหม่ของคดีเงินทอนวัดล็อตที่ 3
พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผู้บังคับการกองปราบปราม กล่าวว่า ปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากก่อนหน้านี้ทางกองบังคับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดและประพฤติมิชอบ หรือ ปปป.ได้ทำสำนวนคดีส่งให้สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. พิจารณาไต่สวนชี้มูลความผิด ซึ่งทางปปช.ได้ส่งเรื่องกลับมาให้กองปราบปรามดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาหมายจับทั้งหมด 10 คน ที่มีความเกี่ยวข้องกับการทุจริตเงินทอนวัด 10 แห่ง โดยวัด 10 แห่งนี้ มีทั้งวัดที่เป็นเป้าหมายหลักเกี่ยวข้องกับการจับกุมพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ที่ดำเนินการจับกุมไปก่อนหน้านี้ และวัดอื่นที่อยู่ในข่ายพบการทุจริตชัดเจน
โดยส่วนใหญ่ผู้ต้องหาจะถูกดำเนินคดีฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157 และข้อหาสนับสนุนเจ้าหน้าที่รัฐกระทำความผิดสำหรับผู้ไม่ใช่ข้าราชการ ซึ่งการจับกุมดังกล่าว เป็นการแสดงให้สังคมเห็นว่า คดีนี้ไม่ได้จับกุมเฉพาะพระที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในพศ.ที่เป็นต้นทางของการทุจริตด้วย
อย่างไรก็ตามที่มีกระแสข่าวว่ามีผู้ต้องหาบางรายเดินทางไปต่างประเทศนั้น ผู้บังคับการกองปราบปราม ตอบเพียงว่า ขอตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน
สำหรับการทุจริตเงินทอนวัดล็อตที่ 3 เป็นการทุจริตในงบประมาณทั้ง 3 ส่วน คือ งบปริยัติธรรม งบการศึกษา และงบบูรณปฏิสังขรณ์ ส่วนใหญ่เป็นงบปริยัติธรรมทั้งหมด 165 ล้าน งบปริยัติธรรมเกือบ 100 ล้านบาท จากการตรวจสอบพบทุจริตเงินทอนวัดเงิน 10 วัด แต่มีการเปิดเผยรายชื่อเพียง 3 วัด คือ
วันสระเกศราชวรมหาวิหาร
วัดสัมพันธวงศาราม
และวัดสามพระยา
จนเป็นที่มาของการบุกค้นและจับกุมครั้งใหญ่จนสะเทือนวงการสงฆ์โดยการตรวจสอบพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ถึง 5 รูป คือ
อดีตพระพรหมดิลก เจ้าอาวาสวัดสามพระยา กรรมการมหาเถรสมาคม และเจ้าคณะกรุงเทพฯ ที่ขณะนี้หลบหนีออกนอกประเทศ และมีกระแสข่าวว่า ได้ยื่นคำร้องขอลี้ภัยกับสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองประเทศเยอรมนี
พระพรหมเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศาราม กรรมการมส. และเจ้าคณะภาคที่ 4 -7
อดีตพระพรหมสิทธิ เจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร กรรมการมส. และเจ้าคณะภาค 10
และผู้ช่วยเจ้าอาวาส 2 รูป คือ พระเมธีสุทธิกร และพระวิจิตรธรรมาภรณ์ ผู้ช่วยวัดสระเกศฯ
โดยอดีตพระทั้ง4รูป ได้ถูกทางตำรวจได้นำไปขออนุญาตศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางฝากขัง ถูกให้สึกและถอดสมณศักดิ์ แบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในสมัยรัตนโกสินทร์
สำหรับพฤติการณ์ของอดีตพระชั้นผู้ใหญ่ จากการตรวจสอบพบว่าได้ร่วมมือกับอดีตข้าราชการพศ. โดยเป็นการเขียนโครงการของบประมาณเงินอุดหนุนโรงเรียนพระปริยัติธรรมและเผยแพร่ศาสนา แต่นำเงินไปใช้ขัดต่อวัตถุประสงค์ และบางกรณีเปิดรับบริจาคเงินจากญาติโยม ส่งพระนักธรรมทูตไปต่างประเทศ ทั้งที่ได้รับเงินอุดหนุนไปแล้ว