- 02 ต.ค. 2561
สุภาษิตที่ว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรานั้นใช้ได้จริงกับเหตุการณ์ของ "พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.)" ข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน ตลอดเวลากว่า 40 ปี ที่ทำงานเพื่อประชาชนจนวันสุดท้ายเมื่อต้องเกษียณอายุราชการ โดย พล.ต.ท.สมหมาย
สุภาษิตที่ว่า งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรานั้นใช้ได้จริงกับเหตุการณ์ของ "พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข ผู้บัญชาการปราบปรามยาเสพติด (ผบช.ปส.)" ข้าราชการตำรวจชั้นผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการมาอย่างยาวนาน ตลอดเวลากว่า 40 ปี ที่ทำงานเพื่อประชาชนจนวันสุดท้ายเมื่อต้องเกษียณอายุราชการ โดย พล.ต.ท.สมหมาย หรือน้าหมาย คำเรียกในวงการตำรวจ ได้เกษียณอายุราชการไปในวันที่ 30 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา
พล.ต.ท.สมหมาย ด้วยความที่เป็นนายตำรวจที่มีอุดมการณ์อันแรงกล้า มีผลงานโด่งดังมากมายโดยเฉพาะการปราบปรามขบวนการยาเสพติดที่เอาจริงเอาจัง ได้ใจประชาชนไปเต็มๆ และด้วยบุคลิกของพล.ต.ท.สมหมาย นั้นจริงจังกับงานที่ทำ เงียบขรึม ซื่อตรงสุจริต ไม่รับใต้โต๊ะใดๆ ทั้งสิ้นทำให้ท่านนั้นเป็นที่รักของผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาทุกคนและประชาชนที่เห็นการทำงานตลอดระยะเวลาการทำงาน เรื่องนี้เป็นที่ยืนยันได้จากผลสำรวจผ่านเพจเฟซบุ๊ก สุรเชษฐ์ หักพาล จาก 800 เสียงที่ให้ประชาชนช่วยกันโหวตผลปรากฎว่า พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข นั้นมาแรงแซงหน้านายตำรวจท่านอื่นอย่างเห็นได้ชัด
โดย พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุข นั้นได้อันดับหนึ่งเพราะ ทำงานจริงจัง ใจถึงพึ่งได้ ขับเคลื่อนองค์กรมีประสิทธิภาพ ถึงแม้วันนี้ยาเสพติดจะยังล้นประเทศทุกมุมเมือง ประชาชนยังคงส่งแรงเชียร์ อยากให้ "พล.ต.ท.สมหมาย" ต่ออายุราชการ นั่งเก้าอี้ดูแลงานด้านยาเสพติดต่อไป แต่คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ซึ่งเรื่องนี้พล.ต.ท.สมหมาย เคยเผยไว้ว่าการต่ออายุราชการให้ยาวออกไปนั้นเป็นเรื่องของรัฐบาล ตนไม่มีสิทธิ์ไปกำหนดอะไรได้
บ่อยครั้งที่ พล.ต.ท.สมหมาย เคยให้สัมภาษณ์ถึงช่วงชีวิตวัยเด็ก และครอบครัวนั้นไม่ได้ร่ำรวยหรือมีธุรกิจเหมือนครอบครัวอื่น วัยเด็ก พล.ต.ท.สมหมาย ต้องช่วยพ่อ แม่ ค้าขายแต่เด็ก เป็นคนกรุงเทพฯ แต่กำเนิด เมื่อโตขึ้นเป็นหนุ่มได้เข้าศึกษาโรงเรียนนายร้อยฯ ก่อนสมัครใจเข้าเป็นชุดตระเวนชายแดน ที่จ.สุรินทร์
ในยุคหนึ่งที่อิทธิพลของคอมมิวนิสต์แพร่หลาย พล.ต.ท.สมหมาย นั้นก็กระโดดไปเป็นหัวหน้าหมวดโจมตีรบกับเขมรแดง ลุยเดี่ยวด้วยความกล้าหาญอยู่หลายภาระกิจจนมีชื่อเสียง จากนั้นก็ย้ายไปที่โคราชรับตำแหน่งเป็นสายตรวจจับคดีปล้นซึ่งมีมากในขณะนั้น ทั้งนี้ พล.ต.ท.สมหมาย มักจะทำงานอยู่เบื้องหลังไม่ค่อยออกมาให้สื่อเห็นมากนักในแต่ละการจับกุมที่มีการแถลงข่าว แต่ด้วยความขยันทำงานจึงขึ้นเป็นสารวัตรที่ศูนย์สืบสวน กองสืบภาค 3 ในปี 2530 จากความสามารถทำให้ผู้ใหญ่มองเห็น ตอนนั้น พล.ต.ท.สมหมาย ได้รับมอบหมายให้ไปจับคนร้ายในสถานที่ต่างๆ มากมายจนผู้ร้ายกลัวในฝีมือ นอกจากนั้นครั้งเป็นผู้การที่ จ. เชียงใหม่ พล.ต.ท.สมหมาย ยังทำทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้ศาลากลางนั้นถูกเผา เพราะด้านในมีพระบรมฉายาลักษณ์ และพระแสงดาบอยู่ เปรียบเสมือนพ่ออยู่ โดย พล.ต.ท.สมหมาย ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง ซึ่งแม้ว่าจะมีการย้ายไปมาอยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้มาประจำอยู่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้รับมอบงานปราบปรามมากมาย
แต่ภารกิจที่ทำให้หลายคนรู้จักชื่อของ พล.ต.ท.สมหมาย มากที่สุดนั่นคือการจัดตั้งชุดปฎิบัติการ "ชัยยะสยบไพรี" จนเป็นที่เกรงกลัวอย่างมากในหมู่ของผู้ค้ายาเสพติด โดยเริ่มเปิดผลงานแรกด้วยการนำกำลังเข้าจับพ่อค้ายาเสพติดรายใหญ่จากฝั่ง สปป.ลาว นายไซซะนะ แก้วพิมพา เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2560 จนนำไปสู่การเข้าจับกุมผู้ร่วมขบวนการคนอื่นๆ อีกมากมายที่เกี่ยวข้องในวงจรการค้ายาเสพติดของ นายไซซะนะ แก้วพิมพา คาดว่ามีมูลค่าทรัพย์สินในการทำผิดน่าจะเกินกว่า 2,000 ล้าน ตามมาด้วย นายบอย ณัฐพล นาคคำ ผู้ใจดี เพื่อน "เบนซ์ เรซซิ่ง" หรือ นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดช สามีนางเอกสาว แพท ณปภา
จนกระทั่งมาถึงปฎิบัติการ ชัยยะสยบไพรี ก็เริ่มต้นอีกครั้งเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2561 พล.ต.ท.สมหมาย นำกำลังเข้าทลายแก๊งค้ายาเสพติด "โน้ต ดินแดง" ทั้งนี้นายวันเฉลิม กมลเลิศ หรือโน้ต ดินแดง ได้ไหวตัวหนีไปก่อน แต่ก็สามารถรวบตัวพี่ชาย นายปาหุณ กมลเลิศ ในข้อหาสมคบกันกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และร่วมกันฟอกเงิน พล.ต.ท.สมหมาย นั้นเป็นข้าราชการตำรวจที่มีแนวคิดเป็นของตัวเองเคยลั่นวลีเด็ดในการให้สัมภาษณ์การจับกุมขบวนการค้ายาเสพติดของนายไซซะนะ แก้วพิมพา ว่า "ผมจะทำให้มันจนยิ่งกว่าขอทาน" จนพ่อค้า แม่ค้า ยาเสพติดหลายคนหากได้ฟังต้องขนลุกกลัวกันไปตามๆ กัน จากนั้นก็มีผลงานจับกุมยาเสพติดอีกมากมายให้หลายคนได้เห็นกัน จนโดนใจประชาชนหลายคนในการปฎิบัติงานที่เอาจริง ไม่โอนอ่อนต่ออำนาจมืด
แม้ในวันใกล้เกษียณอายุราชการ พล.ต.ท.สมหมาย ก็ยังคงทำงานจนวันสุดท้ายในการแถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดถึง 3 คดี ยึดยาบ้า กัญชา ไอซ์ และเคตามีน มูลค่ากว่า 755 ล้านบาท ซึ่งมีคำสรุปสั้นๆ ได้ว่าการจัดตั้งปฎิบัติการชัยยะสยบไพรี นั้นสามารถตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ได้ถึง 13 คดี จับกุมผู้ต้องหากว่า 463 ราย ตรวจยึดทรัพย์สินได้กว่า 1,472 รายการ รวมมูลค่ายาเสพติดและทรัพย์สิน 2.7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นความสำเร็จของชุดปฎิบัติการนี้ และ พล.ต.ท.สมหมาย ก็นับได้ว่าทำงานที่ท่านรักจนถึงวันสุดท้ายก่อนอายุราชการ ซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก
ในการปิดงานสุดท้ายก่อนเกษียณ พล.ต.ท.สมหมาย ได้กล่าวเสริมหลังแถลงว่า ตนนั้นได้ปฎิบัติหน้าที่ตำรวจมานานรู้สรรพคุณของกัญชาเป็นอย่างดีว่าหากแพทย์นำไปใช้ในทางที่ถูกก็สามารถรักษามะเร็งได้ พร้อมขอให้คนไทยยอมรับและเปิดใจ เพราะอยากให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ดี ไม่ใช่ให้ต่างประเทศนำสมุนไพรของไทยไปวิจัยและใช้ในการรักษา ขณะที่คนไทยนำไปเผาทิ้งโดยไม่ให้เกิดประโยชน์ นั่นคือคำพูดสุดท้ายหลังแถลงข่าวเสร็จในภาระกิจอำลาตำแหน่ง
ทั้งนี้ พล.ต.ท.สมหมาย มีคติในการทำงานเน้นถึงความซื่อสัตย์ ไม่ออกนอกเกม ไม่ไปรีดไถใคร เพราะพ่อแม่สอนมามีแค่ไหนก็แค่นั้น ซึ่งตนภูมิใจที่ได้ปราบปรามคนชั่ว แม้ต้องตกนรกแต่ก็ได้ทำให้แผ่นดินสงบสุขเหมือนอย่างที่บรรพบุรุษ ทั้งหลายได้ทำเพื่อเสียสละให้ประเทศไทยเจริญ ซึ่งเกียรติยศที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ นอกจากนี้สิ่งที่ พล.ต.ท.สมหมาย เกลียดที่สุดคือยาเสพติด เห็นได้จากภารกิจที่ผ่านตามากมายว่าส่วนใหญ่
จะเกี่ยวข้องกับการปราบปรามยาเสพติด
ซึ่งเมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2561 ที่ผ่านมา พล.ต.ท.สมหมาย มีอาการน้ำตาคลอ หลังชุดปฎิบัติการ ชัยยะสยบไพรี ขึ้นมาร้องเพลงให้ส่งท้ายก่อนอำลาตำแหน่ง บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าปนรอยยิ้มหลังจากนี้ พล.ต.ท.สมหมาย กล่าวว่าจะใช้ชีวิตในแต่ละวันในวัยเกษียณ อย่างเรียบง่ายและไม่คิดไปสานต่อในงานอื่นเพราะยังรู้สึกมีความสุขกับการเป็นตำรวจอยู่แม้จะไม่ได้ปฎิบัติหน้าที่แล้วก็ตาม