- 12 ต.ค. 2561
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงร.9 ของปวงชนชาวไทยนั้น นอกจากจะบริบูรณ์ไปด้วยทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระราชอารมณ์ขัน
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช หรือในหลวงร.9 ของปวงชนชาวไทยนั้น นอกจากจะบริบูรณ์ไปด้วยทศพิธราชธรรมแล้ว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ที่ทรงเปี่ยมไปด้วยพระราชอารมณ์ขัน หลากหลายเรื่องเล่าผ่านบันทึก ล้วนแต่ทำให้เหล่าพสกนิกรชาวไทยได้มีรอยยิ้ม ในวันที่คิดถึงพระองค์ ดังเหตุการณ์ 9 เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้
1. เรื่อง "ชื่อเดียวกัน"
การใช้ "คำราชาศัพท์" ถือเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนและจำกัดวง เฉพาะในกลุ่มที่สื่อสารกับเหล่า "เชื้อพระวงศ์" เป็นประจำเท่านั้น ถึงแม้ในตำราเรียนจะมีสอนอยู่บ้างประปราย แต่ก็เห็นจะเป็นการยากที่ประชาชนทั่วไป จะหยิบยกมาใช้ได้อย่างชำนิชำนาญ ไม่เว้นแม้แต่ข้าราชการที่จำต้องเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายรายงาน หรือกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลีพระบาทในพระราชานุกิจต่างๆ
ท่านผู้หญิงบุตรี วีระไวทยะ รองราชเลขาธิการได้เผยถึงความทรงจำครั้งหนึ่งว่า ด้วยพระบุญญาธิการและพระบารมีในพระองค์นั้นมีมากล้นจนบางคนถึงกับไม่อาจระงับอาการกิริยาประหม่ายามกราบบังคมทูล จึงมีผิดพลาดเสมอ แม้จะซักซ้อมมาอย่างดีก็ตาม
เมื่อมีข้าราชการ ระดับสูงผู้หนึ่งกราบบังคมทูลรายงานว่า "ขอเดชะ ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า พลตรีภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลรายงาน…" พลันที่คำกราบบังคมทูลจบ ในหลวงร.9 ทรงแย้มพระสรวลอย่างมีพระอารมณ์ดีและไม่ถือสาว่า "เออ ดี เราชื่อเดียวกัน"
2. เรื่อง "หมอลำ"
อีกหนึ่งในพระราชกรณียกิจ ของ ร.9 ที่ทำให้เหล่าบัณฑิตได้ปลื้มปิติ คือ พิธีการถวายปริญญา ซึ่งครั้งหนึ่งในพิธีการถวายปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ทางนิติศาสตร์ พระองค์ทรงรับสั่งกับมหาดเล็กใกล้ชิดว่า "ฉันได้เป็นหมอความแล้ว" ต่อมาเมื่อมีการถวายปริญญาทางดิน ก็รับสั่งว่า "ตอนนี้เราเป็นหมอดินแล้ว" หลังจากนั้นไม่นานนักก็มีการถวายปริญญาทางดนตรีอีก จึงรับสั่งว่า "ตอนนี้เราเป็นหมอลำ"
3. เรื่อง "ฆ่าเชื้อด้วยแอลกอฮอล์เข้มข้น"
ทุกหย่อมหญ้าที่พระราชาทรงเหยียบย่าง ล้วนมีเรื่องเล่าให้ชวนประทับใจเสมอ เช่นเดียวกับเหตุการณ์เมื่อปี 2513 ครั้นเมื่อในหลวง ร.9 ทรงเสด็จไปหมู่บ้านท้ายดอยจอมหด ใน จ.เชียงใหม่ โดยไม่รอช้าด้วยการแสดงออกถึงความเป็นเจ้าบ้านที่ดี ผู้ใหญ่บ้านลีซอกราบทูลชวนให้ไป "แอ่วบ้านเฮา" (เที่ยวบ้านเรา) ท่านก็ทรงรับไมตรีจิต เสด็จตามเข้าไปในบ้านซึ่งทำด้วยไม้ไผ่และมุงหญ้าแห้ง
ภายหลังจัดแจงเอาที่นอนมาปูสำหรับประทับ จึงริน สรถ. หรือ สุราเถื่อนที่มีอยู่คู่สังคมในแถบชนบทมาช้านานใส่ถ้วย แต่ดูเหมือนว่าถ้วยใบนั้นไม่ค่อยจะได้ล้างจนมีคราบดำๆ ทำให้เหล่าผู้ติดตามแสดงความวิตกกังวลว่าอาจมีเชื้อโรค จึงกระซิบทูลว่าควรจะทรงทำท่าเสวย แล้วส่งถ้วยมาพระราชทานผู้ติดตามจัดการเอง แต่พระองค์ท่านทรงกระดกเกลี้ยงภายในอึกเดียว ซึ่งภายหลัง ทรงรับสั่งว่า "ไม่เป็นไร แอลกอฮอล์เข้มข้นเชื้อโรคตายหมด"
4. เรื่อง "ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง"
ด้วยความที่มหาราชผู้นี้ไม่ทรงถือตัว ในบางโอกาสทรงใช้ชีวิตเยี่ยงสามัญชน ครั้งหนึ่งในหลวง ร.9 เสด็จฯ ไปที่ตลาดสด ทรงแวะไปเสวยก๋วยเตี๋ยว แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเห็นก็สงสัย จึงทูลถามท่านว่า "ทำไมหน้าเหมือนในหลวงจัง?" ท่านไม่ทรงตรัสอันใด หากทรงแย้มพระโอษฐ์ หลังจากทรงจ่ายเงินกับแม่ค้า พร้อมตรัสชมว่า "ก๋วยเตี๋ยวอร่อย" ซึ่งในภายหลังแม่ค้าผู้นั้นได้ทราบว่าเป็นในหลวง ร.9 ก็ได้แต่ปลื้มอกปลื้มใจ
5. เรื่อง "ยิ้มของฉัน"
ในหลวง ร.9 เป็นกษัตริย์ผู้ทรงงานหนักเพื่อประโยชน์สุขของปวงประชา มาตลอดพระชนม์ชีพ เราอาจไม่มีโอกาสได้เห็นพระองค์ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์บ่อยครั้งนัก ซึ่งในครั้งหนึ่งเมื่อปี 2503 พระองค์ท่านทรงเสด็จประพาสสหรัฐอเมริกาเป็นครั้งแรก ถือเป็นเรื่องที่สร้างความสนใจแก่สื่อมวลชนอเมริกาเป็นอย่างมาก เมื่อพระองค์ทรงพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้สื่อมวลชนได้ทำการสัมภาษณ์ ได้มีนักข่าวหนุ่มผู้หนึ่งทูลถามว่า "ทำไมพระองค์จึงทรงเคร่งขรึมนัก… ไม่ทรงยิ้มเลย?" พระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปทางสมเด็จพระนางเจ้าฯ พลางรับสั่งว่า "นั่นไง… ยิ้มของฉัน" แสดงให้เห็นถึงความรักที่ในหลวง ร.9 ทรงมีต่อ สมเด็จพระนางเจ้าฯ อันเป็นแบบอย่างของ "รักแท้" ที่ตรึงใจชาวไทยทั้งแผ่นดินมาโดยตลอด
6. เรื่อง "ไม่ขึ้นเงินเดือน"
ในหลวง ร.9 ทรงโปรดปรานการถ่ายภาพ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบของการอดออม เมื่อยังทรงพระเยาว์ มีพระชนม์ได้ 8 พรรษา ทรงซื้อกล้องถ่ายรูปกล้องแรกด้วยเงินสะสมส่วนพระองค์ คือรุ่น Coconet Midget และได้ทรงถ่ายภาพมาโดยตลอด ครั้งหนึ่งปรากฏภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ไปปรากฏอยู่ในนิตยสาร "สแตนดาร์ด" ของพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเปรมบุรฉัตร (พระบุตรของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และคมนาคม) ทรงมีพระราชดำรัสด้วยพระอารมณ์ขันแก่ผู้ใกล้ชิดผู้หนึ่งถึงการเป็นช่างภาพอาชีพของพระองค์ว่า
"ฉันเป็นกษัตริย์ก็จริง แต่ฉันยังมีอาชีพเป็นช่างภาพของหนังสือพิมพ์สแตนดาร์ด ได้เงินเดือนละ 100 บาท ตั้งหลายปีมาแล้วจนบัดนี้ก็ยังไม่เห็นเขาขึ้นเงินเดือนให้สักที เขาก็คงถวายเดือนละ 100 บาทอยู่เรื่อยมา"
7. เรื่อง "เรียกน้าซิ ถึงจะถูก"
ทุกครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จเยี่ยมเยียนพสกนิกรตามต่างจังหวัด จะมีชาวบ้านออกมาต้อนรับเพื่อถวายความจงรักภักดี และหวังเพียงขอใกล้ชิดพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักแม้เพียงเล็กน้อยก็ดี เช่นเดียวกับหญิงชราคนหนึ่งที่นั่งอยู่แถวหน้า ของเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน เมื่อพระองค์เดินมาถึงหญิงชราได้ก้มลงกราบแทบพระบาทและจับพระหัตถ์ของในหลวง พร้อมทูลถึงความปลื้มปิติที่ได้เจอในหลวง ร.9
พระองค์ท่านมิทรงตรัสหรือรับสั่งอันใด ทำให้เหล่าข้าราชบริภารต่างอีหลักอีเหลื่อมองหน้ากันไปมา ไม่รู้จะทำเช่นใดต่อ เนื่องด้วยเกรงว่าพระองค์จะทรงพอพระราชหฤหัยหรือไม่ ทันใดนั้นเองพระองค์รับสั่งตอบกับหญิงชราคนดังกล่าว สถานการณ์ก็ได้ผ่อนคลายลงจนทำให้บางคนถึงกับต้องกลั้นหัวเราะกันยกใหญ่ เพราะพระองค์ทรงตรัสว่า "เรียกว่ายายได้อย่างไร อายุอ่อนกว่าแม่ฉันตั้งเยอะ ต้องเรียกน้าซิ ถึงจะถูก"
8. เรื่อง "ซุ้มสำหรับในหลวง"
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2498 เมื่อพระองค์เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานไปประทับ ณ พระราชวังไกลกังวลนั้น จะทรงขับรถยนต์พระที่นั่งไปยังท้องที่ห่างไกลทุรกันดารย่านหัวหิน หนองพลับ แก่งกระจาน ด้วยพระองค์เอง ทำนองเดียวกับการเสด็จประพาสของ ร.5 โดยที่ราษฎรไม่รู้ตัวล่วงหน้าว่าทรงมาถึงแล้ว
ในวันหนึ่งทรงขับรถยนต์พระที่นั่งผ่านไปถึงยังบริเวณหมู่บ้านแห่งหนึ่งย่านหมู่บ้านห้วยมงคล อำเภอหัวหิน อุ่นหนาฝาคั่งไปด้วยเหล่าราษฎรที่กำลังช่วยกันตบแต่งประดับซุ้มรับเสด็จ แต่หารู้ไม่ว่ารถที่กำลังจะขับผ่านเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ จึงไม่ยอมให้รถผ่าน ด้วยให้เหตุผลว่า ต้องให้ในหลวงเสด็จฯก่อนแล้วพรุ่งนี้ถึงจะลอดผ่านซุ้มได้
อย่างไม่ถือตัว พระองค์ทรงขับรถพระที่นั่งเบี่ยงออกข้างทาง วันต่อมาเมื่อทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในหมู่บ้านนี้อย่างเป็นทางการ พร้อมคณะข้าราชบริพารผู้ติดตาม และทรงมีพระดำรัสทักทายกับชายผู้นั้นที่เฝ้าอยู่หน้าซุ้มเมื่อวันวานว่า "วันนี้ฉันเป็นในหลวง คงผ่านซุ้มนี้ได้แล้วนะ"
9. เรื่อง "มิกกี้เม้า"
พระมหากษัตริย์กับ "เหรียญที่ระลึก" ล้วนเป็นของคู่กัน ครั้งเมื่อพระองค์ท่านมี พระชนม์มายุ 72 พรรษา มีการผลิตเหรียญที่ระลึกออกมาหลายรุ่น แต่ได้มี เจ้าของกิจการนาฬิกายี่ห้อหนึ่งได้ยื่นเรื่องขออนุญาตนำพระบรมฉายาลักษณ์ของท่านมาประดับที่หน้าปัดนาฬิกาเป็นรุ่นพิเศษ ท่านทราบเรื่องแล้วตรัสกับเจ้าหน้าที่ว่า "ไปบอกเค้านะ เราไม่ใช่มิกกี้เมาส์"