- 17 ต.ค. 2561
ย้อนบันทึก “วิสา คัญทัพ” ประกาศยุติชุมนุม นปช.53 ลั่นไม่อยากเสื้อเลือดเนื้อ แต่ถูกแย่งไมค์
สืบเนื่องจากกรณี “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ /แกนนำเสื้อแดง ได้เปิดเผยเรื่องราวของนาย วิสา คัญทัพ หนีคดีไปหลบหนีอยู่ที่ประเทศเยอรมนี กับอาการป่วยเป็นโรค 'พาร์กินสัน' ร่างกายผอมซูบลงถนัดตาเห็น ใบหน้าสั่นคลอนไปมา ซึ่งมีชีวิตความเป็นอยู่ลำบาก ไร้ความช่วยเหลือ ทั้งด้วยค่ารักษาพยาบาล ที่มีราคาแพง บางช่วงบางตอนระบุว่า..
“...ผมพบกับวิสา คัญทัพ เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 61 ที่เมืองโคโลญ เยอรมนี วิสา ผอมซูบลงถนัดตาเห็น เดินอย่างเชื่องช้า ใบหน้าสั่นคลอนไปมา ผมจับมือวิสา คัญทัพ แต่มือของเขาสั่นเทา ไม่ใช่เพราะความหนาว แต่เป็นด้วยอาการของโรคพาร์กินสัน ที่เกิดกับเขาเมื่อต้องไปใช้ชีวิตลำเค็ญต่างแดนในเมืองอันหนาวเหน็บ เขาใช้เวลาทั้งหมดอยู่ภายในบ้านกับภรรยา ไพจิตร อักษรณรงค์ ไม่ได้ออกไปไหนเพื่อรอคอยสถานภาพผู้ลี้ภัย จนบัดนี้เขาออกจากบ้านได้ แต่ทว่า ความชราและพากินสันกลับทำให้เขาต้องอยู่แต่ภายในบ้านอพาร์ตเมนต์สี่เหลี่ยมอุดอู้
วิสา บอกกับผมด้วยเสียงสั่นเทา น้ำตาคลอเบ้า “ค่ารักษาพยาบาลที่นี่แพงมหาศาลเลย ผมแก่แล้ว ภาษาอังกฤษและเยอรมันพูดไม่ได้เลย อยู่ในสังคมต่างแดนมันโหดร้ายมาก จะเริ่มเรียนก็ไม่ได้ ไม่ใช่คนหนุ่มสาว เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป” ผมจับมือวิสา ให้ความมั่นใจกับเขาว่าบรรดานักต่อสู้ประชาธิปไตยในเมืองไทย ยังไม่ลืมเขา และจะต้องนำ วิสา คัญทัพ และพวกกลับประเทศไทยให้ได้..”
วิสา คัญทัพ/สมยศ พฤกษาเกษมสุข
สำหรับนายวิสา คัญทัพ ใน สมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเคยดำรงตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน นายเผดิมชัย สะสมทรัพย์ อย่างไรก็ดีช่วงเวลาดังกล่าว ในการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ น.ป.ช. 2553 มีเป้าหมายเรียกร้องให้ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรี ขณะนั้น ประกาศยุบสภา และจัดการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งรัฐบาลใช้มาตรการทางทหารกดดันกลุ่มผู้ชุมนุม จนทำให้มีผู้เสียชีวิต และมีผู้บาดเจ็บ
จากนั้น อภิสิทธิ์ประกาศแผนปรองดอง ซึ่งผู้ชุมนุมมีข้อเรียกร้องเพิ่มเติม การชุมนุมจึงดำเนินต่อไป และอภิสิทธิ์ก็ประกาศยกเลิกวันเลือกตั้งใหม่ตามแผนปรองดอง ก่อนจะใช้กำลังทหารเข้าสลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม จนกระทั่ง แกนนำ นปช. ประกาศยุติการชุมนุมในวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ซึ่งก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่นำพาไปสู่ความรุนแรง นายวิสา เคยออกมาเปิดเผยบันทึก ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัว Visa Khanthap โดนนายวิสาอ้างว่า ตนได้การประกาศ ยุติการชุมนุม เพราะไม่อยากเสียเลือดเนื้อ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ถูกแย่งไมโครโฟน มีเนื้อหาทั้งหมดดังนี้...
บันทึกของ วิสา คัญทัพ (ฉบับที่ 1) เรื่องการยุทธและการหยุดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2553
ทำไม วีระ มุสิกพงศ์ ประธาน นปช.แดงทั้งแผ่นดิน จึงเขียนจดหมายประกาศยุติบทบาทการต่อสู้ โดยประกาศลงที่สถานีบางซื่อ ไม่ขอเดินทางต่อไปถึงสถานีหัวลำโพง คำตอบย่อมมาจากการกลั่นกรองเหตุผลหลายประการ จนตกผลึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ไม่ยอมให้มีการสูญเสียชีวิตและเลือดเนื้อประชาชนอีกต่อไป เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานที่ยึดมั่นแนวทางสันติวิธีในการต่อสู้ เป็นการตัดสินใจที่เห็นว่าข้อเรียกร้อง "ยุบสภา" ได้รับการตอบรับจากรัฐบาลแล้ว ตามเงื่อนไขที่ได้เจรจากัน ดังที่ได้รับมอบหมายให้เป็นตัวแทนการเจรจา และผ่านมติเป็นเอกฉันท์ในทุกเรื่อง
รายละเอียดสุดท้ายคือการให้ประกันตัวแกนนำทั้ง 24 คน ซึ่งรัฐบาลยอมรับ ขณะที่แกนนำบางส่วนไม่เชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะทำตามคำพูด เพราะหลายคนยังหวั่น พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งยังเพิ่มข้อเรียกร้องเรื่องนายสุเทพ เทือกสุบรรณต้องมอบตัวให้ถูกต้องตามกระบวนการยุติธรรม กรณีสั่งฆ่าประชาชน 10 เมษาฯ อ้างว่าเพื่อเป็นการรับผิดชอบกับชีวิตวีรชนประชาธิปไตย ข้อเรียกร้องเรื่องสุเทพมอบตัว ทำให้เกิดความสับสนในข้อกฎหมายว่าจะสิ้นสุดลงอย่างไร จึงจะเป็นที่ยอมรับของแกนนำคนเสื้อแดง
วีระ มุสิกพงศ์ เลือกลดบทบาทจากแกนนำลงไปเป็นคนเสื้อแดงธรรมดาเพราะเห็นว่า การทำตามสัจจะที่ได้ประกาศไว้มีความสำคัญต่อสังคมอย่างที่สุด เมื่อประกาศร่วมกันว่าทั้งสองฝ่ายพร้อมเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ไม่เอาการนิรโทษกรรม ย่อมถือว่าสังคมรับรู้แล้ว เมื่อประกาศจะยุบสภาตามวันเวลาที่ชัดแจ้ง ก็ผูกมัดรัฐบาลต่อสายตาสังคมโลก แกนนำคนเสื้อแดงสมควรมอบตัวโดยมิต้องหวั่นไหวใดๆ แม้จะมีการหักหลัง จับกุมกักขังไม่ให้ประกัน แม้อภิสิทธิ์ สุเทพจะหลบหลีกไม่ยอมมอบตัว ก็เป็นเรื่องปกติของฝ่ายที่ยึดกุมอำนาจรัฐที่สามารถกระทำเช่นนั้นได้ ส่วนเราจะยื้อยุดฉุดดึงไปก็ไร้ประโยชน์ เพราะในความเป็นจริง กระบวนการเอาผิดทางกฎหมายต่อรัฐบาลอาชญากรมือเปื้อนเลือดก็มิได้ยุติลงในรัฐบาลชุดนี้ อภิสิทธิ์ - สุเทพ หนีความผิดไม่พ้น ความไม่ชอบธรรมจะตกอยู่กับอภิสิทธิ์ - สุเทพทันที
การเลือกยุติการชุมนุมในจังหวะนี้ ความชอบธรรมจะอยู่กับฝ่าย นปช. สำคัญที่สุด ประชาชนไม่สมควรต้องสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตอีกเป็นอันขาด ประชาชนคนเสื้อแดงจะต้องกลับบ้านอย่างปลอดภัย องค์กร นปช.แดงทั้งแผ่นดินยังคงเคลื่อนไหว ในหนทางสันติวิธีต่อไปได้ รัฐบาลจะถูกกดดันจากทุกภาคส่วนของสังคม ให้ดำเนินการทุกอย่างไปสู่การยุบสภา อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบรรณ จะกลายเป็นซากศพที่เดินได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ อดิศร เพียงเกษ,ไพจิตร อักษรณรงค์ และผม เห็นด้วยและตัดสินใจลงสถานีเดียวกัน
แนวทางและชุดความคิดดังกล่าว ถูกมองว่าเป็นจิตใจจำนนและถอย ยอมรัฐบาลมากเกินไป คนที่ยังไม่พร้อมจะลงจึงเดินทางต่อไป ถามว่า การเดินทางต่อมีความคิดชี้นำมาจากองค์ประกอบอื่นๆ นอกเหนือจากแกนนำที่ร่วมประชุมกันหรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยข้อมูลที่เป็นจริง จึงยังไม่อยากวิเคราะห์ล่วงหน้า
อย่างไรก็ตาม แนวทางและชุดความคิดนี้หากมองกลับเป็นตรงกันข้ามย่อมสามารถมองว่าเป็นการ "ต่อสู้" ได้ เพราะการที่แกนนำเดินทางเข้ามอบตัว โดยไม่หวั่นกลัวต่อการจับกุมคุมขัง เท่ากับ แกนนำยอมเสียสละอิสรภาพของตน เพื่อแลกกับการให้ประชาชนกลับบ้าน โดยไม่สูญเสีย ไม่ต้องตายกันอีก เป็นการลงอย่างสันติวิธี ไม่รุนแรง รักษาองค์กรให้คงอยู่และเคลื่อนไหวต่อสู้ต่อไปได้
หลังการประชุมในตู้คอนเทนเนอร์ ที่เวทีราชประสงค์สิ้นสุดลง ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2553 วีระ มุสิกพงศ์ ไม่ได้ขึ้นพูดบนเวทีในคืนนั้น แล้วหายไปจากเวที ส่วน อดิศร เพียงเกษ,ไพจิตร อักษรณรงค์ และผม ยังอยู่ต่อ และเข้าร่วมประชุมครั้งสุดท้ายในวันที่ 11 พฤษภาคม 2553 อดิศร ชี้แจงเหตุผลที่เขาต้องยุติบทบาท แล้วลงจากตู้คอนเทนเนอร์ไปก่อนการประชุมจะสิ้นสุดลง ส่วน ไพจิตรและผมได้แจ้งที่ประชุมว่า จะขอลงสถานีบางซื่อเช่นเดียวกับวีระและอดิศร เช้าวันรุ่งขึ้น ไพจิตร อักษรณรงค์ก็ล้มป่วยเป็นไข้หวัด เจ็บคอ ไม่มีเสียง นอนพักรักษาตัว เราสามคนไม่ได้กลับเข้าไปที่เวทีตั้งแต่วันนั้น
เมื่อครั้งที่ผมและไพจิตร อักษรณรงค์ได้รับมอบหมายให้ดูแลเวทีปราศรัยที่ผ่านฟ้าลีลาศ ก่อนเกิดเหตุการณ์ 10 เมษายน เราคุมสถานการณ์ด้วยสันติวิธี ขณะเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์มาบินวนในช่วงบ่ายวันนั้น ผมประกาศให้คนออกมาจากเต็นท์ให้หมด มารวมกันหน้าเวที เพื่อให้เจ้าหน้าที่บนเครื่องบินที่บินสังเกตุการณ์ ได้เห็นว่ามีคนเสื้อแดงมากมาย ผมให้พี่น้องนั่งลง สงบนิ่ง ตั้งสติ ทำสมาธิ ยึดหลักการสันติอหิงสา ปล่อยให้ตำรวจทหารเข้ามาโดยไม่ขัดขวาง หากเขาจะมาจับแกนนำ
ให้เปิดทางให้เขาเข้ามาจับบนเวที พวกเราพร้อม เพื่อไม่ให้เกิดความสูญเสียใดๆกับพี่น้องประชาชน
หลังจากผมพูดจบลง ไมโครโฟนก็ถูกแย่งดึงโดยบางคนที่ปลุกเร้าเร่าร้อน ระดมกำลังให้ออกไปปะทะเผชิญสะกัดกั้น ไม่ให้ตำรวจทหารผ่านเข้ามาตามด่านต่างๆ ผลักดันสถานการณ์ไปสู่ความรุนแรง ผมเดินลงจากเวที เพราะผมไม่อยู่ในฐานะที่ไปห้ามปรามแล้วเพื่อนๆจะฟัง และไม่มีประโยชน์อะไรที่จะพูดสวนทางกันให้สับสน ในใจคิดว่าหากมีการสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตอีก คงรับไม่ไหว ผมติดต่อไปหาณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่เวทีราชประสงค์ให้มาคุมสถานการณ์ที่นี่ด้วยตัวเอง ก่อนที่มันจะลุกลามบานปลาย แต่ไม่เป็นผล ที่สุดก็ปะทะกันรุนแรง หลังเหตุการณ์นี้ผมเร่งเร้าให้ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ยุติเวทีที่สะพานผ่านฟ้าลีลาศ หากไม่มีคนนำที่แกนนำเชื่อฟังมาคุมเวที ก่อนที่ประวัติศาตร์นองเลือดจะซ้ำรอย ซึ่งเป็นผลสำเร็จในที่สุดเมื่อตกลงย้ายการชุมนุมไปรวมที่ราชประสงค์จุดเดียว
กรณี 10 เมษายน 2553 คุกคามจิตใจผมให้หดหู่ ขมขื่น และเจ็บปวดอย่างหนัก สำหรับผม พอแล้ว มันเขียนอะไรไม่ออก มันบอกอะไรไม่ถูก มันไม่ได้สร้างพลังอะไรเลย นอกจากสำนึกแห่งธรรมที่ว่าการฆ่าคือบาป และผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำให้เกิดการฆ่าเล่า จะพ้นบาปไปได้อย่างไร
วิสา คัญทัพ , ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
วันที่ 10 พฤษภาคม 2553 เมื่อประธานวีระ มุสิกพงศ์ ลงขบวนรถไฟไป เหตุเพราะข้อเรียกร้อง "ยุบสภา" บรรลุแล้ว และแนวทางการต่อสู้ส่อเค้าจะหลุดเฟรมแห่งสันติวิธี มีสำเนียงบางอย่างกระตุ้นเร้าความรุนแรงแทรกซ้อนการนำของ นปช. ผมจึงเห็นด้วยและขอลงสถานีเดียวกับวีระ ใครจะชิงชังรังเกียจและหยามเหยียดอย่างไรก็ว่ากันไป เรารับเสียงร่ำไห้แห่งความโศกเศร้า เลือดเนื้อ น้ำตา การบาดเจ็บ สูญเสีย ไม่ได้อีกแล้ว
บันทึกนี้เขียนขึ้นเพื่อชี้แจงเหตุผลแห่งการยุติบทบาทอย่างเป็นทางการของผมและไพจิตร อักษรณรงค์
หยุดคือหยุด ไม่ให้ใคร ต้องตายอีก
หยุดคือหลีก ความรุนแรง อันแฝงฝัง
หยุดแล้วมวลชนได้ไม่พ่ายพัง
หยุดเขาขังหลอกเราก็เข้าใจ
หยุดอาจมีความหมายว่าไม่หยุด
หยุดเพราะแท้ที่สุด หาหยุดไม่
หยุดการตาย เพื่อให้อยู่ สู้ต่อไป
หยุดสงวนกำลังไว้ใช้อีกนาน
ถ้าเราหยุดละวางตรงบางซื่อ
จักได้ความเชื่อถือมหาศาล
คลื่นอธรรมก็จะซัดใส่รัฐบาล
ดำเนินการต้องประกอบด้วยชอบธรรม
หยุดเพราะว่ายุบสภาได้มาแล้ว
เราได้แนวนำเสนอไม่เพ้อพร่ำ
เป็นไปตามยุทธวิธีที่ชี้นำ
ให้ค่อยกินทีละคำจดหมดจาน
เหมือนจะยอม เหมือนจะแพ้ แท้แล้วสู้
ข้างหน้าคุก รออยู่ ไม่สะท้าน
เพื่อหยุดการเข่นฆ่าอย่างสามานย์
นี้คือการ เรียกร้อง หยุดของเรา
(บันทึกนี้เขียนวันที่ 13 พฤษภาคม 2553)