- 03 ธ.ค. 2561
"สมศักดิ์" สวน "พรรคพลังประชารัฐ" ไม่เคยคิดสืบทอดอำนาจ ผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรค-ไม่มีนายพลสักคน
"สมศักดิ์" สวน "พรรคพลังประชารัฐ" ไม่เคยคิดสืบทอดอำนาจ ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ของพรรค ทั้ง ส.ส.เขต และบัญชีรายชื่อ ไม่มีนายพลสักคน แถมระบุ เมื่อถึงเวลาแล้วมี "พล.อ.ประยุทธ์" เข้ามาคนเดียว จะไปสืบทอดอำนาจได้อย่างไร
วันนี้ (3 ธ.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. ที่ทำการพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) "นายสมศักดิ์ เทพสุทิน" แกนนำพรรค พปชร. ในฐานะประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง เป็นประธานประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจฯ เพื่อหารือถึงแนวทาง วิธีการหาเสียง ให้เป็นไปตามกฎหมายและไม่เข้าข่ายสุ่มเสี่ยงในระหว่างที่ยังไม่ปลดล็อกการเมือง
ทั้งนี้ นายสมศักดิ์ ได้เปิดเผยก่อนการประชุมว่า สิ่งที่เป็นห่วงและเกรงว่าจะถูกนำไปพูดให้เป็นประเด็นทางการเมืองคือ หาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ได้รับการเสนอชื่อให้เป็นนายกฯ จะมีการวิจารณ์ว่า พรรค พปชร.สืบทอดอำนาจ ซึ่งมีพรรคการเมืองบางพรรคพูดเรื่องนี้อยู่เสมอ และเชื่อว่ายิ่งใกล้วันรับสมัคร ส.ส. และลงคะแนนจะยิ่งเอาประเด็นเหล่านี้ขึ้นมาพูดแล้วทำให้เกิดความขัดแย้งทางการเมือง โดยไม่เอาเรื่องของนโยบายที่เป็นประโยชน์มานำเสนอ
และเท่าที่ตนลงสมัครรับเลือกตั้งมาหลายครั้ง ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการสืบทอดอำนาจแน่นอน เพราะถ้าดูจากเรื่องการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารของ เช่น การตั้งผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์ มาจากสายบูรพาพยัคฆ์ แต่ในสมัยนี้ ผบ.ทบ.ที่ได้รับการแต่งตั้งก็ไม่ได้เป็นสายบูรพาพยัคฆ์ จึงชี้ให้เห็นว่านายกฯไม่ได้คิดที่จะสืบทอดอำนาจ แต่คืนความชอบธรรมให้แก่กองทัพ
“จากการประชุมพรรค พปชร.ครั้งแรก ผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ทั้ง 350 เขต ไม่เห็นมีชื่อนายพลสักคน ไม่มีฝ่ายของทหารเข้ามาเลย และผู้ที่จะอยู่ในบัญชีรายชื่อก็ไม่มีทหาร จึงคิดว่าไม่น่าจะมีการสืบทอดอำนาจ และขอเรียนว่าอย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาพูดให้บ่อย เพราะการเมืองวันนี้ต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง พูดเรื่องการกินดีอยู่ดีของประชาชนให้มากจะเป็นประโยชน์กว่า ไม่ใช่เวลาเลือกตั้งไม่ชนะ แล้วจะเอาเรื่องเหล่านี้มาเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้ง ซึ่งผมกังวลมากว่าหลังเลือกตั้งจะสร้างปัญหา และทำให้เกิดความไม่สงบสุขขึ้นมาอีก เพราะที่ผ่านมาหลังความวุ่นวายบ้านเมืองเสียโอกาส เสียเวลากับการทำงานให้ประชาชนมาหลายปี” แกนนำ พปชร. ระบุ
ส่วนกรณี นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รองหัวหน้าพรรค พปชร. ระบุชัดจะเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ นั้น นายสมศักดิ์ กล่าวว่า หาก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ แต่ไม่มีทหารหรือใครมาเป็น ส.ส. จะไปสืบทอดอำนาจได้อย่างไร เพราะในแต่ละเขตเลือกตั้งไม่มีทหารเลย ตนไม่ได้ปฏิเสธว่าใครจะมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ เพราะเป็นเรื่องกรรมการบริหารพรรคจะพิจารณา และวันนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร
เมื่อถามว่า ฝ่ายการเมืองระบุว่าคะแนนนิยมของพรรค พปชร. ในภาคอีสานไม่ได้สูงอย่างที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อ้างว่าจะได้ 50 ที่นั่ง นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ถ้าประเมินไปแล้วจะเกิดการโต้เถียงและวิจารณ์ว่าใช่หรือไม่ใช่ แต่เท่าที่ดูนโยบายของพรรคและผลงานที่ผู้สมัคร ส.ส. นำไปอ้างอิงยังเห็นว่าเป็นบวก ในขณะที่พรรคอื่นที่ลงไปในพื้นที่ยังไม่เห็นว่าพูดถึงนโยบายอะไรนอกจากการสืบทอดอำนาจ ความขัดแย้ง เรื่องเผด็จการ มีอยู่เท่านั้น ซึ่งจะพยายามทำความเข้าใจในเรื่องเหล่านี้ว่าไม่ใช่อย่างที่วิจารณ์
นอกจากนี้ นายสมศักดิ์ ยังกล่าวถึงการตั้งข้อสังเกตว่าพรรค พปชร.ได้เปรียบพรรคอื่นในหลายเรื่องว่า วันนี้พรรค พปชร. เสียเปรียบหลายเรื่อง เช่น ตั้งพรรคช้า มีผู้สมัครหน้าใหม่จำนวนมาก แต่ในสังคมไม่มีอะไรที่เสียเปรียบหรือได้เปรียบทั้งหมด ต้องคละกันไป
เมื่อถามย้ำว่า การชู พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ จะเป็นจุดดีหรือจุดด้อยต่อพรรค พปชร. อย่างไร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ยอมรับว่าเป็นทั้งสองอย่าง คือ จะมีคนช่วยหาเสียงให้ พล.อ.ประยุทธ์ แต่เรื่องคะแนนเสียงของสมาชิกอาจจะมีปัญหาบ้าง แต่เชื่อว่าไม่น่าจะมีอะไรยุ่งยาก ถ้ามีคราบไคลของทหารเข้ามาก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะถูกวิจารณ์ แต่ถ้ามี พล.อ.ประยุทธ์ คนเดียว ถามว่าจะไปสืบทอดอำนาจอย่างไร.