- 18 ธ.ค. 2561
เมื่อไม่นานนี้ นายกุลิศ สมบัตศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาเผยหลังจากเป็นประธานเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ของประเทศฉบับใหม่ระหว่างปี 2561 - 2580 ว่าการรับฟังความคิดเห็น (พับลิค เฮียริ่ง) ครั้งที่ 5
เมื่อไม่นานนี้ นายกุลิศ สมบัตศิริ ปลัดกระทรวงพลังงาน ได้ออกมาเผยหลังจากเป็นประธานเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นร่างแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ของประเทศฉบับใหม่ระหว่างปี 2561 - 2580 ว่าการรับฟังความคิดเห็น (พับลิค เฮียริ่ง) ครั้งที่ 5 ซึ่งจะมีการรวบรวมความคิดเห็นทั้งหมดจากทุกภาคส่วนก่อนสรุปเข้าที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ให้ทันภายในเดือน ม.ค. 2562 แล้วส่งต่อให้คณะรัฐมนตรี อนุมัติ อีกครั้ง โดยก่อนหน้านี้ได้มีการหารือเบื้องต้นจากนายศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้ออกข้อกำหนดให้ค่าไฟฟ้าตลอดทั้งแผนเฉลี่ยอยู่ที่ไม่เกิน 3.60 บาท/หน่วย จากเดิมอยู่ที่ 5 บาท/หน่วย
ทั้งนี้นายกุลิศ ได้กล่าวถึงแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ครั้งนี้ว่า "เรามองว่าในการกำหนดแผนพีดีพีเดิมปี 2015 นั้นยังไม่มีความเสถียรมากนักของเทคโนโลยีด้านพลังงาน แต่ปัจจุบันแหล่งการผลิตไฟฟ้ามาจากหลายด้าน ทั้งพลังงานทดแทนที่อนาคตจะสามารถทำให้เสถียรได้ เชื้อเพลิงมีราคาถูกลงเนื่องจากการแข่งขันที่สูง รวมถึงมีนวัตกรรมที่จะส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าให้ได้ในราคาถูกลง รวมถึงการนำเข้าไฟฟ้าในต่างประเทศที่ในอนาคตจะราคาต่ำลงไปอีก"
เบื้องต้นแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (พีดีพี) ได้วางแนวทางไว้ว่าจะมีการจัดสรรให้มีการผลิตไฟฟ้าให้เพียงพอต่อความต้องการของประชาชน และเน้นโรงไฟฟ้าจากนโยบายส่งเสริมภาครัฐ เช่น โรงไฟฟ้าขยะชุมชน , โรงไฟฟ้าหลักจากเชื้อเพลิงฟอสซิล , โรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีเทคโนโลยีที่สะอาด , โรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนตามแผนพัฒนาพลังงานทดแทนและพลังงานทางเลือก ซึ่งภายในปลายเดือน ธ.ค.นี้ ทางกระทรวงจะมีการกำหนดแผนพีดีพี ให้ชัดเจนมากกว่าเดิมอีกที
"เราจะต้องมีการกำหนดการใช้ไฟฟ้าเป็นภูมิภาค รวมถึงกำลังการผลิตไฟฟ้าที่ต้องดูความต้องการของคนในพื้นที่ รวมถึงการเติบโตของเศรษฐกิจ ขณะที่ภาคใต้เองก็ต้องดูความจำเป็นว่าจะดำเนินต่อไปอย่างไร และโรงไฟฟ้าถ่านหินเองก็ต้องรอผลศึกษาการประเมินสิ่งแวดล้อมในระดับยุทธศาสตร์ (เอสอีเอ) ก่อนเราก็ตั้งใจว่าจะทำให้แผนมีความยืดหยุ่นมากที่สุด"
นอกจากนี้นายกุลิศ ยังออกมาเปิดเผยอีกว่าขณะนี้ความต้องการใช้ไฟฟ้าของประชากรในประเทศยังคงเพียงพอใช้ไปถึงปี 2568 โดยเมื่อถึงเวลาจะต้องมีการศึกษาพร้อมประเมินอีกครั้งถึงความต้องการใช้ไฟฟ้าจากประชากรในท้องถิ่นนั้นๆ พร้อมจะมีการเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่โดยพิจารณาจากความสามารถ ศักยภาพที่ควรจะเป็น