- 16 ธ.ค. 2561
"ดร.อนุสรณ์"ประเมินศก.ไทยปี 62 โดนพิษหนี้ครัวเรือน อุตฯขยายตัวต่ำกว่าคาดการณ์
ถือเป็นอีกปีทีสภาวะทางเศรษฐกิจของประเทศ มีความผันผวนอย่างมาก กระทบความเป็นอยู่ ค่าครองชีพและหลายๆ ธุรกิจที่ต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย รวมไปถึงการท่องเที่ยวต่างๆ ที่พบว่าขณะนี้ดูไม่คึกคักอย่างที่ควรจะเป็น แม้จะถึงช่วงเวลาของการพักผ่อนและเทศกาลปีใหม่แล้วก็ตาม
ล่าสุดนายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า จากผลสำรวจของหอการค้าไทยที่พบว่าหนี้สินเฉลี่ยครัวเรือนปรับตัวสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ โดยหนี้อยู่ที่ 3.16 แสนบาทต่อครัวเรือนนั้น จะมีความอ่อนไหวในเรื่องความสามารถในการผ่อนชำระมากยิ่งขึ้นจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในวันที่ 19 ธ.ค.นี้ อาจซ้ำเติมปัญหาหนี้สินครัวเรือน แม้ว่าหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงมาเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 77% จากเดิม 80%
ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ
ยอดหนี้ครัวเรือนโดยรวมอยู่ที่มากกว่า 12 ล้านล้านบาท อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจการเงินในอนาคตได้ การทำให้รายได้ของประชาชนเพิ่มขึ้นเพื่อลดการก่อหนี้เพื่อนำมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจะเป็นแก้ปัญหาความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจและแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการดำเนินนโยบายเข้มงวดทางการเงิน สำหรับประชาชนในระดับฐานรากนั้น ผู้ใช้แรงงานควรได้รับการปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มเติม
นอกจากนี้ควรมีมาตรการพยุงราคาสินค้าเกษตรเพิ่มเติม การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วงนี้เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคตและป้องกันปัญหาฟองสบู่น่าจะเป็นการส่งสัญญาณที่เร็วเกินไป และ อาจซ้ำเติมปัญหาหนี้ครัวเรือนได้ แม้หนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีจะลดลงมาเล็กน้อย อยู่ที่ระดับ 77% จากระดับ 80% เมื่อ 3-4 ปีก่อน
แม้อัตราเงินเฟ้อไตรมาสแรกปีหน้าปรับตัวสูงขึ้นอันเป็นผลจากการปรับเพิ่มค่าโดยสารสาธารณะ ราคาพลังงานและกิจกรรมการเลือก ตั้งแต่เศรษฐกิจไทยยังไม่ได้มีแรงกดดันหรือปัญหาทางด้านเสถียรภาพ จึงยังคงยืนยันความเห็นว่า เร็วเกินไปที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินรอบนี้ การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะทำให้เศรษฐกิจในระดับฐานรากชะลอตัวลงอีก เงินบาทแข็งค่ากระทบต่อภาคส่งออก
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัญหาที่ยังวางใจไม่ได้คือ ปัญหาการเลิกจ้างว่า เพราะขณะนี้ กฎหมายคุ้มครองแรงงานฉบับใหม่เพิ่มอัตราชดเชยกรณีถูกเลิกจ้างและเพิ่มสิทธิประโยชน์ให้ผู้ใช้แรงงาน ช่วยบรรเทาปัญหาทางเศรษฐกิจของผู้ถูกเลิกจ้างได้ระดับหนึ่ง ขณะที่กรณีย้ายสถานประกอบการไปที่อื่น หากลูกจ้างไม่ประสงค์ย้ายตามไป ก็สามารถบอกเลิกสัญญาจ้างและได้สิทธิชดเชยตามอัตราใหม่ เช่น ลูกจ้างทำงานครบ 20 ปีขึ้นไป จะได้รับเงินชดเชย 400 วัน
ร้านอินเตอร์เน็ต (ใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น)
โรงงานเฟอร์นิเจอร์ (ใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น)
ธุรกิจเครื่องหนัง และหัตกรรม งานทักถอต่างๆ
ร้านค้าแบบเก่า (ใช้เป็นเพียงภาพประกอบเท่านั้น)
"ปีหน้าจะมีธุรกิจอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตต่ำมาก มีความเสี่ยงสูงและจะมีการเลิกจ้างพนักงานเพิ่มเติมจากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภคและการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี ได้แก่ 1.ธุรกิจอุตสาหกรรมทีวี ทีวีดิจิทัล เคเบิลทีวี สื่อสิ่งพิมพ์และสำนักพิมพ์ต่างๆ 2.ธุรกิจผลิตและจำหน่ายหรือการให้เช่า CD DVD
3.ธุรกิจอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางและปาล์มน้ำมัน 4. สถานศึกษาเอกชน 5. ธุรกิจร้านค้าแบบดั้งเดิม 6. ธุรกิจให้บริการโทรศัพท์พื้นฐานและธุรกิจร้านอินเทอร์เน็ต
7. ธุรกิจหัตถกรรมและเฟอร์นิเจอร์ไม้ 8. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องหนัง 9. เครือข่ายสาขาสถาบันการเงิน 10. เครือข่ายห้างสรรพสินค้า"