- 13 ก.พ. 2559
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ www.tnews.co.th
ตามติดประเด็นข่าวที่โด่งดังและสร้างความเสื่อมเสียให้กับวงการสงฆ์ทั้งในทางสงฆ์และทางโลกซึ่งก็คือกรณีของคลิปพระเสพเมถุนกับสีกา ที่เผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยเป็นคลิปพระชั้นผู้ใหญ่ สูงวัย ระดับเจ้าคณะจังหวัด ในภาคตะวันออก
ความคืบหน้าล่าสุดนั้นสอบถามไปยัง พระสิทธิธรรมวิเทศ เลขานุการพระเทพรัตนมุนี เจ้าคณะภาค 12 ถึงกรณีคลิปดังกล่าว เบื้องต้น พระสิทธิธรรมวิเทศ เปิดเผยว่า ตรวจสอบคลิป ทราบว่า เป็นคลิปที่เกิดขึ้นมาหลายปีแล้วในพื้นที่ จ.ปราจีนบุรี ก่อนพระเทพรัตนมุนี เข้ามารับตำแหน่งเจ้าคณะภาค 12 เท่าที่ทราบจากการสอบถามไปยังเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี พบว่า พระรูปที่อยู่ในคลิป ได้ลาออกจากตำแหน่งทางการปกครองทั้งหมดแล้วหายไป ไม่ทราบว่าขณะนี้อยู่ที่ไหน อีกทั้ง ทั้ง 2 คนในคลิปก็เป็นคู่กรณีมีเรื่องฟ้องร้องคดีความกันอยู่ เนื่องจากพระรูปดังกล่าวให้การอ้างว่า ถูกกรรโชกทรัพย์ จากหญิงในคลิป ส่วนในเรื่องของธรรมวินัยนั้น ทางเจ้าคณะจังหวัดปราจีนบุรี ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพียงแต่รอให้คดีความทางโลกสิ้นสุด ก็จะดำเนินการพิจารณาตามหลักฐาน และพระธรรมวินัย ต่อไป
ด้าน นายชยพล พงษ์สีดา รอง ผอ. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวว่า ขณะนี้ส่วนคุ้มครองพระพุทธศาสนา ได้ประสานขอคลิปจากแหล่งอ้างอิงอื่นๆ มาดำเนินการตรวจสอบเทียบกับคลิปที่มีอยู่ เพื่อยืนยันว่า เป็นพระจังหวัดใด เป็นคลิปเก่าหรือคลิปใหม่ ส่วนที่คณะสงฆ์ภาค 12 ได้ตรวจสอบข้อมูลแล้วนั้น พศ.ก็จะประสานข้อมูลร่วมกัน เพื่อให้ทราบข้อเท็จจริงในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นร่วมกันอีกทางหนึ่ง ส่วนเรื่องปาราชิก ต้องมาพิจารณาการสอบสวน ทั้งผู้ร้องและผู้ถูกร้อง ถ้าหากผู้ถูกร้องคือ พระรูปดังกล่าว ยอมรับว่าทำความผิด ก็สามารถลงโทษได้เลย ทั้งนี้พระที่ถูกร้อง มีตำแหน่งสูง ก็ต้องให้พระที่มีตำแหน่งสูงกว่าพิจารณา เบื้องต้นต้องพิจารณาพระธรรมวินัยก่อน จากนั้นค่อยไปว่ากันในเรื่องสมณศักดิ์ต่อ
ขณะที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เปิดเผยว่า เรื่องนี้ทาง สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องเร่งดำเนินการจับสึกด้วยเหตุปาราชิก และไม่สามารถบวชเป็นพระได้อีก ส่วนสมณศักดิ์ที่ได้รับ ก็หมดสิ้นไปพร้อมกับตำแหน่งพระ ความจริงเรื่องนี้ สํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดำเนินการได้เลย ไม่ต้องรอให้มีใครแจ้ง ควรแถลงให้สังคมได้รับทราบ อย่างไรก็ตาม ตั้งข้อสังเกตว่า คลิปพระฉาวนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ เพราะอาจเกิดปัญหาตามมา เช่น ไปบวชให้พระรูปอื่นไว้ จะมีผลย้อนหลังให้เป็นโมฆะหรือไม่ ตรงนี้อยากให้ทางสํานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติช่วยพิจารณา ในพระธรรมวินัยด้วย
นอกจากนี้ทางสำนักข่าวทีนิวส์ก็ได้มีการสืบค้นข้อมูลที่มาของคลิปว่า คลิปดังกล่าว เกิดจากพระผู้ใหญ่รายนี้แอบคบหากับหญิงสาวในคลิปฉันสามีภรรยากันมานานตั้งแต่หญิงสาวยังเป็นวัยรุ่น โดยช่วงแรกๆ มีการส่งเสียเลี้ยงดูกันเป็นอย่างดี กระทั่งฝ่ายหญิงเริ่มมีอายุมากขึ้น ปัจจุบันอายุ 40 ปีกว่า อีกทั้งเริ่มมีรูปร่างเจ้าเนื้อ ประกอบกับตัวพระเองก็อายุมากขึ้นถึง 70 กว่าปี จึงพยายามตีตัวออกห่าง และไม่ยอมส่งเสียเลี้ยงดูเหมือนเดิม ทำให้ฝ่ายหญิงเกิดความคับแค้น และเมื่อประมาณปลายปี 58 พระรูปดังกล่าวขอนัดเจอเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลา แต่ฝ่ายหญิงไม่ยอมจึงติดตั้งกล้องแอบถ่ายพฤติกรรมไว้เป็นหลักฐานเพื่อแก้แค้น โดยไม่ได้มีเจตนาจะแบล็กเมล์อย่างที่เป็นข่าว
ซึ่งนี้ก็ไม่ใช่กรณีแรกของปมฉาวของวงการสงฆ์ แต่ถ้าเราย้อนไปดูอดีตที่ผ่านมาข่าวในลักษณะนี้ เคยเกิดขึ้นมาก่อน แสดงให้เห็นว่าพระสงฆ์บางรูปมีประพฤติเป็นแบบอย่างที่ไม่เหมาะสมต่อการครองอยู่ในสมณเพศ แต่กลับไปยุ่งเกี่ยวกับสีกา แม้จะรู้ว่าการเสพเมถุนผิดพระวินัย
ทั้งนี้เมื่อย้อนกลับไปในอดีต เคยเกิดเหตุลักษณะคล้ายๆกัน โดยอดีตพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ที่ขณะมีชื่อเสียงโด่งดัง เริ่มจาก อดีตพระเทพสิทธิญาณรังสี หรือ “หลวงตาจันทร์” อดีตเจ้าอาวาสวัดป่าชัยรังสี ต.บ้านเกาะ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มีลูกศิษย์ลูกหาทั่วทุกสารทิศ แม้เมื่อสึกออกจากความเป็นพระสงฆ์ ผู้คนก็ยังคงให้ความสนใจอย่างไม่ละลด ซึ่งสาเหตุการสึก เพราะหวังจะออกมาแต่งงานกับสาวข้าราชการ ในจ.เพชรบุรี พร้อมกับสร้างเรือนหอราคาหลาย 10 ล้านบาท แต่สุดท้ายฝ่ายหญิงกลับออกมาปฏิเสธว่า อดีตพระรูปดังกล่าว แต่งเรื่องขึ้นมาทั้งหมด โดยเจ้าตัวไม่มีส่วนรู้เห็นแต่อย่างใด จึงทำให้อดีตหลวงตาจันทร์ต้องหลบหนีความอายโดยไม่ติดต่อใครอีกเลย
ในปี 2538 หนึ่งคดีที่เป็นกระแสสังคมถูกกล่าวถึงเป็นอย่างมาก คือ คดีอดีต “พระภาวนาพุทโธ” ข่มขืนด.ญ.ชาวเขา จ.แม่ฮ่องสอน หลังทำทีรับเด็กไว้เลี้ยงดูและให้การศึกษา จนในที่สุดต้องรับโทษติดคุกยาวนานถึง 50 ปี
โดยในขณะที่ต้องโทษอยู่ในเรือนจำบางขวาง ความเลื่อมใสศรัทธาที่ลูกศิษย์ลูกหามีต่อเจ้าตัวนั้น ไม่ได้ลดน้อยลงเช่นกัน ยังคงมีผู้คนแห่เดินทางมาที่เรือนจำ เพื่อเข้าฟังคำสั่งสอนในทุกๆวันอังคารและพฤหัสบดีแม้อดีตพระภาวนาพุทโธ จะติดคุกเป็นนักโทษแล้วก็ตาม
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2537 ข่าวที่เป็นกระแสวิพากษ์วิจารย์อย่างหนักต่อวงการศาสนา "อดีตพระยันตระ อมโรภิกขุ" หรือ "อดีตพระวินัย อมโร" หรือที่เรียกติดปากว่า "พระยันตระ" ได้ประพฤติตนไม่เหมาะสมแก่สมณเพศ ถูกสีกากลุ่มหนึ่งออกมาแฉ จนเป็นข่าวโด่งดังในบนหน้าหนังสือพิมพ์ หลังล่อลวงสีการายหนึ่งไปเสพเมถุนจนตั้งครรภ์ และคลอดเด็กออกมา ตั้งแต่ครั้งยังครองอยู่ในผ้าเหลือง ซึ่งถือว่าเป็นพระรูปงาม และผู้คนต่างเลื่อมใสให้ความศรัทธากันอย่างล้นหลาม แต่อดีตพระยันตระ กลับปฏิเสธ และไม่ยอมให้พิสูจน์ด้วยการเจาะเลือดตรวจดีเอ็นเอ จึงคิดหาวิธีไม่ให้ถูกดำเนินคดี เดินทางหลบหนีออกนอกประเทศ ซึ่งก่อนหน้านั้น พระยันตระเกือบถูกดำเนินคดีหลังได้วิพากษ์วิจารณ์หมิ่นองค์สมเด็จพระสังฆราชฯ ทำให้ต้องปลอมหนังสือเดินทาง แล้วเดินทางไปต่างประเทศจนได้รับสถานะเป็นผู้ลี้ภัยทางการเมือง อาศัยอยู่ที่สหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ถูกดำเนินคดีแต่ประการใด
ส่วนในปี พ.ศ.2533 “อดีตพระครูใบฎีกานิกร ธรรมวาที วัดสันปง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพระนักเทศน์ที่พุทธศาสนิกชนเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง ได้เสพเมถุนกับหญิงรายหนึ่งตั้งท้องและมีลูกด้วยกัน แต่ด้วยความศรัทธาของผู้คน ต่างไม่เชื่อคำครหาดังกล่าว อดีตพระนิกรเห็นว่าถูกกลั่นแกล้งจึงไม่ยอมถอดผ้าเหลืองโดยเด็ดขาด แต่ท้ายสุดอย่างไรก็ต้องถึงขั้น "ปาราชิก" ขาดจากความเป็นพระ
ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นพระเสพเมธุนนั้นนายชูชาติ สรีแสง อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกาก็ได้เคยแสดงความคิดเห็นเอาไว้โดยการเอากรณีพระเสพเมถุนเปรียบเทียบกับกรณีพระธัมมชโย
โดยนายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า พระภิกษุรูปหนึ่งข่มขืนกระทำชำเราผู้หญิงคนหนึ่งอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคแรก ซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 ปี ถึง 10 ปี มาตรา 281 บัญญัติว่า
ความผิดตามมาตรา 276 วรรคแรก ถ้ามิได้เกิดต่อหน้าธารกำนัล ไม่เป็นเหตุให้ผู้ถูกกระทำได้รับอันตรายสาหัสหรือถึงแก่ความตาย หรือมิได้เป็นการต่อกระทำแก่บุคคลดังที่ระบุไว้ในมาตรา 285 เป็นความผิดอันยอมความได้ การข่มขืนกระทำชำเราที่เกิดขึ้นเข้าข่ายตามมาตรา 281 จึงเป็นความผิดอันยอมความได้
ภิกษุรูปนั้นถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลในข้อหาข่มขืนกระทำชำเราดังกล่าว ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล ผู้หญิงที่ถูกข่มขืนซึ่งเป็นผู้เสียหายแถลงต่อศาลว่า ไม่ติดใจให้ดำเนินคดีแก่พระภิกษุรูปนั้นอีกต่อไปและขอถอนคำร้องทุกข์ เนื่องจากเป็นความผิดอันยอมความได้ เมื่อผู้เสียหายได้ขอถอนคำร้องทุกข์ สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ศาลต้องจำหน่ายคดีดังกล่าวออกจากสารบบความ พระภิกษุจำเลยจึงไม่ถูกศาลลงโทษ แต่ไม่ได้หมายความจำเลยหรือพระภิกษุรูปนั้น ไม่มีความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราที่เป็นการร่วมประเวณีกับหญิงผู้เสียหาย
กรณีเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายที่เอาที่ดินของวัดมาใส่ชื่อตนเองในโฉนดที่ดินเป็นผลให้ที่ดินก็ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเองอันเป็นความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 252 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ และได้ถูกฟ้องเป็นจำเลยต่อศาลในข้อหายักยอก แม้ต่อมาได้โอนคืนที่ดินให้แก่วัดและพนักงานอัยการโจทก์ขอถอนฟ้องคดีไปจากศาล แต่ความผิดฐานยักยอกทรัพย์ที่ครบองค์ประกอบความผิดโดยสมบูรณ์แล้ว ก็ยังคงเป็นความผิดอยู่
ทั้งนี้ไม่ว่าจะเป็นการเสพเมถุนหรือจะเป็นการรับของโจรหรือการนำของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาติมาเป็นของตนก็แล้วแต่ต้องอาบัติปาราชิก
ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิก
คำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเองที่ไม่สามารถปฏิบัติในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้
ปาราชิก มี 4 ข้อ อยู่ใน ศีล 227 ได้แก่
1.เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ซากศพก็ไม่ละเว้น)
2.ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา 5 มาสก (5 มาสกเท่ากับ 1 บาททองคำ)
3.พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหาและใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตายให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย) ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
4.กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าในตัวว่า ข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ ข้าพเจ้าเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง)ยกเว้นสำคัญตนผิด
อาบัติปาราชิกทั้ง 4 นี้เป็นอาบัติหนักที่เรียกว่า อเตกิจฉา คือไม่สามารถแก้ไขได้เลย