- 11 มี.ค. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th
จากกรณีที่พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ แถลงยุติการเข้าตรวจค้นวัดพระธรรมกาย เพราะพบว่าพระธัมมชโย ไม่ได้อาพาธจริง รวมทั้งได้หลบหนีไปแล้วนั้น ได้สร้างความมึนงงสงสัยต่อประชาชนและผู้ที่สนใจเฝ้าติดตามสถานการณ์ตลอด23วันที่ผ่านมาว่าเกิดอะไรขึ้น บ้างก็ว่ามวยล้มต้มคนดู บ้างก็วิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่ ฝ่ายรัฐว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ล่าสุดนายไพศาล พืชมงคล ผู้ช่วยกรรมการรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ)ได้โพสต์ข้อความชี้แจงถึงกรณีดังกล่าว โดยมีเนื้อหาที่ชวนตั้งข้อสังเกตว่าเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ดังนี้
(ช่วยกันแชร์โดยด่วนเพื่อป้องกันความเข้าใจผิดครับ)
การปราบปรามกบฎผีบุญยังไม่จบ
๑ ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นมหากาพย์ปราบกบฎผีบุญเท่านั้น
๒ รัฐบาลสามารถคุมสภาพในการปฏิบัติภาระกิจได้อย่างดี
๒.๑ การที่ผู้รับผิดชอบขอใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ เพราะอ้างว่ามาตรการปกติใช้ไม่ได้ผล ก็เพื่อ ตรวจค้นจับกุมกบฎผีบุญ เมื่อผลการตรวจค้นไม่พบตัวเพราะ"เชื่อว่าหนีไปแล้ว" ก็ต้องยกเลิกการควบคุมพื้นที่ตามมาตรา ๔๔ ต่อไป มาตรการนี่ชอบด้วยกฎหมายที่พึงทำทุกประการ
๒.๒ หลังจากใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ แล้ว ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบใช้การเจรจา ขออนุญาต ขอความร่วมมือ โดยไม่ได้ใช้กำลัง ทั้งๆที่เตรียมและขอกำลังไปมากมาย จนเป็นเหตุให้ถูกด่ามากมายว่าจัดกำลังแล้วให้ไปนั่งๆนอนตากแดดตากลมและให้ลิ่วล้อกบฎหลอกหลอนด่าว่าอยู่ได้ทุกวันโดยไม่สามารถตอบโต้ชี้แจงอะไรเลย ปล่อยให้ประชาชนที่ปกป้องศาสนาต้องออกหน้าว่ากันเอง และใช้งบประมาณไปจำนวนมาก
๒.๓ หลังจากเผชิญการตั้งรับเต็มกระบวนของกบฎผีบุญ ก็มีการขอกำลังเตรียมตั้งแนวตรวจค้น จู่ๆก็แถลงข่าวการปิดเกมใน ๕ วัน แต่พอรุ่งขึ้นก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปค้นได้โดยลูกน้องผีบุญนำตรวจค้นอย่างฮา เฉพาะจุดสำคัญใหญ่โตมโหฬารที่สุดกำหนดเวลาตรวจค้นเวลา ๑๕ น มีเวลาแค่ ๓ ชั่วโมงพระอาทิตย์ก็ตกดินค้นไม่ได้ แล้วแถลงว่าไม่พบตัวดังที่ผู้คนคาดหมาย
๒.๔ ใคร การข่าวสำเร็จ หรือล้มเหลว ใครบ่อนไส้ ใครวางกลล่อให้ฉิบหายถึงขนาดยุให้รัฐบาลใช้กฎอัยการศึก ใครที่สามารถพูดจาให้กบฎผีบุญอนุญาตให้ค้นโดยมีเงื่อนไขได้ เปิดตัวรู้หน้ารู้ตัวกันหมดแล้ว
ใครต้องรับผิดชอบอะไร อย่างไรก็คอยดูกันไป
๓ เรื่องสำคัญที่สุดคือฝ่ายการเมืองที่กำลังเข้าแทรกฉวยโอกาสจะสร้างสถานการณ์ก่อสงครามกลางเมืองตามแผนการต่างชาติ ผิดแผน ผิดหวัง ที่รัฐบาลรุกแล้วถอยทันท่วงที จึงด่ารัฐบาลกันขรม
และที่เตรียมจุดไฟสงครามด้วยวาทะกรรมว่า"ทหารฆ่าพระ ทหารปล้นวัด ทหารทำลายศาสนา" ถึงขั้นรณรงค์ให้ลุกฮือกันแล้ว ต้องเดี้ยงหมด ไฟสงครามกลางเมืองถูกดับพรึบทันที
นี่คือความฉลาด พลิกแพลงในพิชัยสงครามและทันต่อสถานการณ์ในการปฏิบัติการปราบปรามกบฎผีบุญ (ตรงกันข้ามกับมาตรการลุยฆ่าประชาชน ที่ใช้ในช่วงการประท้วงของ กปปส ก่อน ๒๒ พฤษภา ๕๗ ราวฟ้ากับเหว)
ต่อไปนี้จับตาปฏิบัติการต่างๆ
๓.๑ทางคดีมากมาย คงจะโดนเป็นโขยง ไม่ต่างสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชและสมัยรัชการที่ ๑ หรอกครับ
๓.๒ การบริหารจัดการวัดพระธรรมกายที่จะต้องจัดการให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา เพื่อประโยชน์ของชาติ ศาสนาและประชาชน ตลอดจนผู้มีสัมมาศรัทธา ไม่ใช่เพื่อให้เดียรถีร์ อลัชชีใช้หลอกลวงฉ้อโกงประชาชน
๓.๓ การประเมินเรียกเก็บภาษีจากมูลนิธิและบริษัทในเครือข่ายที่อาจเสียภาษีไม่ถูกต้องจำนวนมหาศาลและ
๓.๔ การเพิกถอนการโอนทรัพย์สินที่มีลักษณะฉ้อโกงเช่นใช้เงินบริจาคไปซื้อทรัพย์สินในนามผู้อื่นหรือให้นอมินี่ถือแทนกลับมาเป็นของวัดพระธรรมกายตามเจตนาของผู้บริจาค
เหล่านี้เป็นมหากาพย์ ในขณะที่รัฐบาลต้องป้องกันไม่ให้เกิดสงครามกลางเมืองไปพร้อมกันด้วย
ไม่ง่ายนะครับ
แต่วางใจลุงตู่ลุงป้อมได้เลย ไม่เสียท่าเสียทีใครดอกท่าน
ต้องไม่ด่ารัฐบาลให้เข้าทางตีนเขานะครับ
เรียบเรียงโดย : ศิริพงศ์ สำนักข่าวทีนิวส์
ขอบคุณเฟซบุ๊ก : Paisal Puechmongkol