- 06 เม.ย. 2560
ติดตามรายละเอียด http://deeps.tnews.co.th/
จากกรณีมาตรการบังคับใช้กฎหมาย โดยให้ผู้โดยสารจะต้องรัดเข็มขัดนิรภัยทุกที่นั่งในรถทุกประเภท ที่ทำการจดทะเบียนกับกรมขนส่งทางบก ตามคำสั่งกฎหมาย ม.44 กรณีรถกระบะแบบมีแคปว่า สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่กรมการขนส่งทางบก ได้อธิบายและชี้แจงตรงกันว่า ไม่ใช่แค่ห้ามนั่งท้ายกระบะ แต่ตรงช่วงแคป ก็ห้ามนั่ง โดยมีอัตราปรับขั้นต่ำในอัตราที่นั่งละ 100 บาท ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์จากประชาชนทั่วทุกกลุ่มและต่างออกมาคัดค้านกฏหมาย ม.44 นี้ แม้กระทั่งคนมีชื่อเสียงก็ได้แสดงความไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลมีมาตรการบังคับใช้กฏหมาย ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนอย่างมากมาย
ในช่วงเย็นวานนี้ (5 เม.ย.) ได้มีการแถลงข่าวจากตำรวจและขนส่ง ซึ่ง พล.ต.ท.วิทยา ประยงค์พันธุ์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เผยว่า ทาง สตช.ได้หารือกับทางกรมการขนส่งทางบกเกี่ยวกับแล้ว เห็นว่าเพื่อไม่ให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะยังเตรียมตัวไม่ทัน จึงเห็นร่วมกันว่าควรขยายเวลาในการประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชนเพิ่มขึ้นอีก จากเดิม 15 วัน และเลื่อนการจับปรับออกไปเป็นหลังสงกรานต์ ทั้งนี้ ได้มีการนำเรียนเรื่องนี้ให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ทราบแล้ว โดยนำเรียนผ่านเลขาธิการนายกฯ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ก็เห็นด้วย โดยกล่าวว่า ไม่อยากให้ประชาชนเดือดร้อน จึงสั่งให้ไปดูช่องทางช่วยเหลือประชาชนไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในช่วงสงกรานต์ ทำให้จะไปเข้มงวดในเรื่องการใช้ความเร็ว เรื่องเมา และเรื่องการฝ่าฝืนกฎจราจร
อ่านรายละเอียดที่เกี่ยวข้อง : พลังโซเชียล..เสียงปชช.ดังจริง!! บิ๊กตร.เลื่อนมาตรการจับปรับกระบะผิดกฎหมายไปหลังสงกรานต์ ถกวิธีการใหม่ลดอุบัติเหตุ!?! (คลิก)
อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เพจ Drama-addict มีการนำเสนอมุมมองอีกด้านของการนั่งแค็บกระบะว่าไม่มีความปลอดภัย ซึ่งหนึ่งในเหยื่อที่ได้รับผลกระทบจากการนั่งแค็บรถกระบะคือ คุณกฤษณะ ละไล นักข่าวเครือเนชั่น โดยก่อนหน้านี้ คุณกฤษณะเองก็เป็นปกติทุกอย่าง กระทั่งเมื่อปี พ.ศ.2540 คุณกฤษณะได้ไปทำข่าวที่ จ.นครราชสีมา แล้วรถเกิดอุบัติเหตุ คนขับและคนที่นั่งมาด้วยนั้นได้คาดเข็มขัดนิรภัย แต่คุณกฤษณะที่นั่งบริเวณแค็บ ไม่มีเข็มขัดนิรภัย จึงทำให้คุณกฤษณะได้รับบาดเจ็บบริเวณกระดูกสันหลัง และพิการใช้ขาทั้ง 2 ข้างไม่ได้ จนต้องนั่งวีลแชร์ตลอดชีวิต
โดย เพจ Drama-Addict ได้ระบุข้อความทั้งหมดว่า....
"อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่ารัฐบาลต้านกระแสไม่ไหว ยอมชะลอเรื่องนี้ไปหลังสงกรานต์แล้ว ก็เป็นเรื่องดีที่ค่อยเป็นค่อยไปให้เวลาประชาชนปรับตัว
แต่พ่อแม่พี่น้องที่ออกมาเย้วๆกันเรื่องนี้ ก็อย่าอ้างว่าชีวิตกูกูจะนั่งแคปยังไงก็ได้ จะไม่คาดเข็มขัดนิรภัยก็ได้ ถ้าตายถ้าพิการยังไงก็ชีวิตกรูคนเดียว
มันไม่ใช่แค่นั้นหรอกครับ
ขอเล่าเรื่องของคุณกฤษณะ ไชยรัตน์ นักข่าวเครือเนชั่นท่านนี้เป็นอุทาหรณ์ คนนี้สมัยจ่าเด็กๆ ก็ดูเขารายงานข่าวประจำ จนกระทั่งวันนึง จู่ๆ เขาก็หายไปจากหน้าจอ กลับมาอีกทีก็นั่งรถเข็นแล้ว
มารู้ทีหลังว่า เขาเกิดอุบัติเหตุตอนกำลังนั่งรถกะบะไปทำข่าวที่ต่างจังหวัด แล้วรถเกิดอุบัติเหตุ เจ้าตัวเขาคาดเข็มขัดนิรภัยไว้
แต่คนที่นั่งตรงแคป ไม่ได้คาดเข็มขัดนิรภัย
เลยพึ่งมากระแทกเข้าที่หลังของเขา จนได้รับบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง ทำให้ใช้ขาทั้งสองข้างไม่ได้อีกต่อไป แต่พี่แกก็ไม่ท้อถอย ยังคงประกอบอาชีพนักข่าวมาถึงปัจจุบัน และเป็นนักข่าวที่นำเสนอประเด็นเรื่องการเสียโอกาสของผู้พิการในสังคมไทยให้สังคมรับทราบอย่างต่อเนื่อง
คืออยากให้ดูไว้เป็นอุทาหรณ์ว่า การที่นั่งแคปแบบไม่มีเข็มขัดนิรภัย มันอันตรายจริง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราควรตระหนักและหาทางแก้ไขปัญหากันจริงๆจังๆ ไม่ให้มีคนตกเป็นเหยื่อแบบนี้อีก
ว่าแต่ สมัยก่อนตอนโฆษณาขายกะบะแบบมีแคป ในทีวีมันจะบอกว่าจุของได้เยอะ เหมือนสื่อว่าใช้แคปเพื่อบรรทุกของเท่านั้น
แต่เวลาไปที่โชว์รูม เซลล์บอกว่า แคปกว้างคนนั่งหลังสบาย
มันคือเชี่ยอะไรวะ
ปัญหานี้มันไม่ได้มีแต่ในแง่ของคนใช้รถเท่านั้น
แต่มันกว้างมาก ตั้งแต่ผู้ผลิต เซลล์ คนขับ คนโดยสาร ยันเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเลย ดังนั้นจะเอาเรื่องนี้มาทำให้เข้มงวด ต้องทำให้รอบด้าน และค่อยเป็นค่อยไปว่ะครับ"
ทั้งนี้ แม้ว่าปัจจุบันคุณกฤษณะจะต้องนั่งวีลแชร์ไปตลอดชีวิต แต่ก็ยังคงทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวและสื่อสารมวลชนต่อไป และเป็นนักข่าวที่มักนำเสนอเรื่องการเสียโอกาสของผู้พิการไทยให้สังคมทราบ.