- 10 ก.ค. 2560
http://deeps.tnews.co.th
หากยังจำกันได้เมื่อต้นปีที่ผ่านมาได้มีการพิจารณาคดีที่สำคัญคดีหนึ่งของประวัติศาสตร์ของประเทศ โดยที่ศาลจังหวัดภูเก็ต นายพีระพงษ์ เภรีฤกษ์ ผู้พิพากษาศาลจังหวัดภูเก็ต ออกบัลลังก์ อ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้น กรณีโจทก์นางบุญศรี ตันติวัฒนวัลลภ กับพวก 2 คน ทายาทของนายทัน มุกดี ผู้แจ้ง ส.ค.1 และต่อมามีการออกโฉนดที่ดินเลขที่ 8324 เนื้อที่ 12 ไร่ หมู่ 2 บ้านราไวย์ อ.เมือง จ.ภูเก็ต ยื่นฟ้องขับไล่ จำเลย ประกอบด้วย นายแอ่ว หาดทรายทอง นายวรณัน หาดทรายทอง นายบัญชา หาดทรายทอง และนายนิรันดร์ หยังปาน ชาวเลราไวย์ หมู่ที่ 2 ต.ราไวย์ จ.ภูเก็ต รวม 4 คดี โดยมีกลุ่มชาวเลมาร่วมให้กำลังใจหน้าศาลจังหวัดภูเก็ตจำนวน 100 คน นอกจากนี้ยังมีสื่อมวลชนทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นสนใจร่วมทำข่าวเป็นจำนวนมากโดยใช้เวลาร่วม 1 ชั่วโมง และเมื่อทางนายนิรันดร์ หยังปาน ได้เข้ามาแจ้งกับชาวเลราไวย์ที่มารออยู่ทราบ ต่างร้องไห้ด้วยความยินดี
ทั้งนี้นายนิรันดร์ หยังปาน แกนนำชาวเลราไวย์ และเป็นหนึ่งในผู้ที่ฟ้องขับไล่ กล่าวภายหลังฟังการอ่านคำพิพากษาแล้วเสร็จ ว่า ในการวินิจฉัยนั้นศาลได้พิจารณาในหลายประเด็น โดยเฉพาะภาพการเสด็จประพาสหมู่บ้านชาวเลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อปี 2502 ซึ่งมีภาพของต้นมะพร้าวปรากฏอยู่ด้วย ซึ่งโจทย์แจ้งว่าต้นมะพร้าวมีอายุ 10 ปี แต่จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญพบว่า ต้นมะพร้าวดังกล่าวมีอายุกว่า 30 ปี จึงเป็นข้อขัดแย้งและข้อพิรุธ ประกอบกับการพิจารณาของศาลพบว่า หลักฐานของโจทก์มีข้อพิรุธหลายอย่าง จึงพิจารณายกฟ้อง เพราะชาวเลเป็นผู้ถือผู้ใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งทางโจทก์ถือหลักฐานโฉนด
“รู้สึกดีใจที่ศาลมองเห็นว่าวิถีชีวิตและชาติพันธุ์ของชาวเล มีประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมทั้งยังมีหลักฐานที่เชื่อถือได้ ซึ่งนับตั้งแต่การตัดสินคดี เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2559 ในคดีที่นายจำเริญ มุกดี ทายาทนายทัน มุขดี เจ้าของที่ดินตามโฉนดเลขที่ 8342 ฟ้องขับไล่ นายจรูญ หาดทรายทอง และนางแต๋ว เซ่งบุตร ซึ่งศาลพิจารณายกฟ้อง และในวันนี้ ก่อนที่ชาวบ้านจะมาฟังคำการอ่านคำพิพากษาก็ค่อนข้างกังวล และตื่นเต้นว่า จะยกฟ้องเหมือนคดีก่อนหน้านี้หรือไม่ แต่เมื่อศาลอ่านคำพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากหลักฐานของโจทก์มีข้อพิรุธ ส่วนการเตรียมการหลังจากนี้เนื่องจากเชื่อว่าทางโจทก์จะต้องมีการอุทธรณ์นั้น เนื่องจากเราไม่มีความรู้เรื่องกฎหมาย ก็เป็นเพราะพระมหากรุณาและพระบารมีของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านเสด็จมาเยือนชาวเลเมื่อปี 2502 ซึ่งถือเป็นหลักฐานสำคัญ”
สำหรับความเป็นมาของคดีนี้ สืบเนื่องจากชาวเลราไวย์ได้ถูกเจ้าของโฉนดที่ดินที่ออกทับที่อยู่อาศัยของชาวเลทำการฟ้องขับไล่ ซึ่งปัจจุบันมีประชากรชาวเลประมาน 2,067 ครัวเรือน เนื้อที่ประมาณ 19 ไร่ และอาศัยกันอย่างหนาแน่น โดยชาวเลอ้างว่าได้อยู่อาศัยและทำมาหากินในพื้นที่พิพาทต่อเนื่องมากว่า 7 ชั่วอายุคน มีการตั้งบ้านเรือน มีวัฒนธรรมและวิถีชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์ของตนเอง แต่ด้วยไม่รู้กฎหมาย จึงถูกบุคคลภายนอกที่เข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ภายหลังแจ้งการครอบครอง ทำประโยชน์และออกเอกสารสิทธิในที่ดิน แล้วนำเอกสารสิทธิดังกล่าวมาฟ้องขับไล่ ในเบื้องต้นศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ราษฎรชาวเลราไวย์ออกจากพื้นที่แล้ว 9 ราย และมีคดีอยู่ระหว่างการอุทธรณ์คำพิพากษา
อย่างไรก็ตามในการพิจารณาคดีนั้น ฝ่ายชาวเลราไวย์ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาหักล้างเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์ซึ่งออกมาจากหลักฐาน ส.ค.1 ที่มีผู้ไปแจ้งการครอบครองที่ดินของชาวราไวย์ เมื่อปี 2498 ได้ประกอบเจ้าหน้าที่ที่ดินได้ยืนยันว่า การออกโฉนดที่ดินดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามระเบียบของกรมที่ดินแล้ว ศาลจึงพิพากษาว่าเอกสารสิทธิของฝ่ายโจทก์เป็นเอกสารมหาชนที่ออกโดยรัฐ เมื่อไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาโต้แย้งสิทธิได้ สิทธิของโจทก์จึงได้มาโดยชอบและมีคำสั่งให้ชาวเลราไวย์ ออกจากพื้นที่พิพาท
ต่อมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้ทำการสอบสวนเรื่องนี้เพื่อหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์สิ่งที่ชาวเล กล่าวอ้าง แนะนำ พยานหลักฐานเข้าสู่การ การพิจารณาของศาล ซึ่งจากการรวบรวมพยานหลักฐานได้พบหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ชาวเลราไวย์ได้อาศัยอยู่ก่อนการออก ส.ค.1 และโฉนดที่ดินของโจทก์ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายทางอากาศย้อนอดีต โครงกระดูกที่ขุดค้นพบที่พื้นที่พิพาทซึ่งตรวจ DNA แล้วมีความสัมพันธ์กับบุคคลในชุมชนในลักษณะเครือญาติโดยเฉพาะเจ้าของบ้านที่ทำการขุดค้น นอกจากนี้ยังพบว่าทะเบียนนักเรียนเล่มแรกของโรงเรียนวัดสว่างอารมณ์ ต.ราไวย์ อ.เมืองภูเก็ต พบรายชื่อชาวเลราไวย์เข้ามาศึกษา เมื่อปี 2497 (ก่อนออกส.ค.1) ซึ่งพบว่าชาวเลกลุ่มนั้นยังมีชีวิตอยู่บางส่วนและพยานหลักฐานอื่นๆ ซึ่งได้นำพยานหลักฐานดังกล่าวมาเสนอต่อศาลจังหวัดภูเก็ต เพื่อให้ศาลได้พิจารณาให้ความเป็นธรรม