ย้อนรอย 3 ปีผ่าน ปมฆาตกรรมอำพราง คดีหุ้นชูวงษ์

ย้อนรอย 3 ปีผ่าน ปมฆาตกรรมอำพราง คดีหุ้นชูวงษ์

ยืดเยื้อยาวนานกับคดีฆาตกรรมอำพราง "ชูวงษ์ แซ่ตั๊ง" นักธุรกิจรับเหมาก่อสร้างระดับหมื่นล้าน ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2558 จนถึงปัจจุบัน (พ.ศ.2561) คดีอยู่ในขั้นตอนทางกฏหมาย ล่าสุดพนักงานสอบสวนกองปราบปรามได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 5 คน คือ พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ ,นางสาวกัญฐณา ศิวาธนพล ,นางสาวอุรชา วชิรกุลฑล ,นางสาวศรีธรา พรหมมา มารดา และ นายชัยพรรณ น้องชายของนางสาวอุรชา ให้มารับทราบข้อหาฟอกเงินเกี่ยวเนื่องกับคดีโอนหุ้น และฆ่า ของนายชูวงษ์ แซ่ตั๊ง

 

พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังพนักงานสอบสวนกองปราบปราบออกหมายเรียกให้มารับทราบข้อหาฟอกเงิน ว่า วันนี้ไม่ได้เดินทางมาพบพนักงานสอบสวนที่กองปราบ เนื่องจากวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) ติดคดีที่ศาลพระโขนง ขั้นตอนหลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะออกหมายเรียกซ้ำให้เข้ามาพบเพื่อแจ้งข้อหา ซึ่งต้องพิจารณาอีกว่าในวันที่ออกหมายเรียก ตนมีคดีที่ศาลอีกหรือไม่ ยืนยันไม่ได้คิดหลบหนี หากไม่เดินทางไปศาลตามกำหนดนัดเกรงจะถูกเพิกถอนการประกันตัวในชั้นศาล 

 

ย้อนรอย 3 ปีผ่าน ปมฆาตกรรมอำพราง คดีหุ้นชูวงษ์
 

ด้านนายเสกสรร เสนาชู ทนายความของนางสาวกัญฐณา ศิวาธนพล หรือน้ำตาล อดีตพริตตี้คนสนิทเสี่ยชูวงษ์ เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนกองปราบปราบเพื่อขอเลื่อนรับทราบข้อกล่าวหาฟอกเงิน พร้อมกล่าวว่า ได้รับมอบหมายจากนางสาวกัญฐณาให้ขอเลื่อนพบพนักงานสอบสวน เป็นวันที่ 28 สิงหาคม เนื่องจากเพิ่งได้รับหมายที่ส่งไปยังบ้านย่านถนนราชพฤษ์ ซึ่งไม่ค่อยได้พักอาศัยอยู่บ้านดังกล่าว อีกทั้งรวบรวมเอกสารหลักฐานไม่ทัน จึงขอเลื่อนไปก่อน ยืนยันไม่ได้คิดหลบหนี ส่วนนางสาวกัญฐณายังยืนยันปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ขณะที่ นางสาวอุรชา วชิรกุลฑล หรือ ป้อนข้าว อดีตโบรกเกอร์ ได้เลื่อนเข้าพบพนักงานสอบสวนเช่นกัน ซึ่งจะเข้าพบในวันพรุ่งนี้ (15 ส.ค.) ในเวลา 10.00น.

 

หากย้อนกลับไปคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 มิ.ย. 2558 หลัง ภรรยานายชูวงษ์ ได้รับแจ้งว่า นายชูวงษ์ บาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตที่โรงพยาบาล จากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ขณะที่นายชูวงษ์นั่งรถยนต์เลกซัสของ พ.ต.ท.บรรยิน บริเวณถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เนื่องจากมีรถยนต์ปาดหน้า ทำให้ พ.ต.ท.บรรยิน ต้องหักหลบรถยนต์กะทันหัน ก่อนพุ่งชนต้นไม้จนนายชูวงษ์เสียชีวิต จากคำให้การของพ.ต.ท.บรรยิน ในตอนนั้นกล่าวว่า นายชูวงษ์ ไม่ได้รัดเข็มขัดนิรภัยซึ่งอาจเป็นเหตุที่ทำให้นายชูวงษ์เสียชีวิต แต่ตนเองได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยในระหว่างพิธีสวดพระอภิธรรมศพ พ.ต.ท.บรรยิน ได้ไปร่วมฟังสวดด้วยตลอดทั้ง 7 วัน

 

เดือนถัดมา ครอบครัวผู้เสียชีวิตเดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียน ถึงนายกรัฐมนตรีเพื่อเร่งติดตามคดี ภายหลังมีข้อสงสัยปมการโอนหุ้นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ให้ผู้หญิง 2 คน ก่อนเสียชีวิต โดยทนายความ ภรรยา และบุตรชาย พบหนังสือแจ้งรายงานการซื้อขายหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ AECS ถูกวางไว้ในห้องทำงาน รวมถึงเจอรายงานการขายหุ้นจำนวนมาก ครอบครัวและทนายจึงได้รวบรวมหลักฐานพร้อมมอบให้พนักงานสอบสวนสน.อุดมสุข หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้สรุปสำนวนคดีเป็นอุบัติเหตุไปแล้ว แม้จะพบว่าสภาพศพมีรอยกระแทกจากของแข็งจนกระดูกคอหัก รวมถึงลำคอคล้ายถูกรัด จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญยังพบว่า รถยนต์ น่าจะชนด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตร/ชั่วโมง ก็ตาม

 

คดีนี้ถือมีความซับซ้อนจนเกิดข้อสงสัยตั้งแต่การเสียชีวิต นำไปสู่กระบวนการจำลองเหตุการณ์เสมือนจริง ตำรวจกองปราบปราม นำเทคโนโลยีกล้องและหุ่นจำลองไปวิเคราะห์สาเหตุการเสียชีวิตของนายชูวงษ์ ตรวจสอบทิศทางการวิ่งและความเร็วของรถขณะเกิดอุบัติเหตุ อุปกรณ์ทุกอย่างถูกติดตั้งในรถยนต์เลกซัส รุ่นเดียวกับคันเกิดเหตุ เริ่มจากจุดที่ พ.ต.ท.บรรยิน ให้การว่า ขับรถบนเส้นทางถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 เมื่อถึงบริเวณจุดเกิดเหตุ มีรถยนต์วิ่งตัดหน้าทำให้ต้องหักหลบ เสียหลักพุ่งเข้าขอบทางประมาณ 50 เมตร และชนต้นไม้

 

ย้อนรอย 3 ปีผ่าน ปมฆาตกรรมอำพราง คดีหุ้นชูวงษ์

ซึ่งพยานหลักฐานกรณีเหตุการณ์รถชนต้นไม้ มีข้อมูลสำคัญที่ว่า ความเร็ว ลักษณะความเสียหาย คุณสมบัติของรถ และลักษณะบาดแผลของผู้ตาย ไม่น่าจะทำให้ผู้ตายเสียชีวิตจากรถชนต้นไม้ได้ เป็นเหตุให้เชื่อว่าผู้ตายเสียชีวิตก่อนถึงจุดเกิดเหตุสอดคล้องกับมีพยานยืนยันว่าผู้ตาย และพ.ต.ท.บรรยิน อยู่ด้วยกันก่อนเกิดเหตุ นอกจากนี้ช่วงเวลาก่อนถึงจุดเกิดเหตุสามารถรับสัญญานโทรศัพท์ได้ว่า ทั้งสองคนอยู่ที่บริเวณระหว่างซอยรัตนราชและตำบลบางโฉลงไม่น้อยกว่า 30 นาที

 

ข้อหาแรกที่กองปราบปรามได้แจ้งแก่ผู้ต้องหากลุ่มนี้ คือ ข้อหา "ลักทรัพย์ ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิ์ปลอมหรือรับของโจร" โดยมีผู้ต้องหา 3 คน คือ กัญฐณา อุรชา และ ศรีธรา ถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุม ขณะที่ พ.ต.ท.บรรยิน ติดต่อขอมอบตัวเอง โดยหลังจากนั้นทั้งหมดได้รับการอนุญาตให้ประกันตัว สำหรับคดี "ฆาตกรรมอำพราง" เรื่องเงียบไปเกือบ 1 ปี

 

กระทั่งวันที่ 26 มิ.ย.2559 ครอบครัวของนายชูวงษ์ ได้ตั้งโต๊ะแถลงเพื่อติดตามความคืบหน้าของคดี ภายหลังเห็นว่าอัยการสั่งไม่ฟ้องกลุ่มคนเหล่านี้ หลังจากนั้นได้ 2 วัน ศาลได้อนุมัติหมายจับ พ.ต.ท.บรรยิน ในข้อหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาโดยไตร่ตรองไว้ก่อนเพื่อจะเอาหรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแก่การที่ตนได้กระทำความผิดเพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ 

 

ยิ่งสาวยิ่งลึก ยิ่งเจอพิรุธในคดีจนเป็นเหตุให้พบข้อหาเพิ่มเรื่อยๆ แต่เมื่อผู้ต้องหายังคงให้การปฏิเสธ คดีนี้ก็คงจะต้องติดตามกันต่อไปเพราะมีกลิ่นตุๆ ว่าจะไม่จบง่ายๆ อย่างแน่นอน

 

ย้อนรอย 3 ปีผ่าน ปมฆาตกรรมอำพราง คดีหุ้นชูวงษ์